ก่อนจะเริ่มต้นด้วยเสียงรองเท้าแตะลากพื้นเข้ามาใกล้ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงประตูที่ถูกเปิดออกดังแอ๊ด…ตามด้วยเสียงโมโหและรำคาญถึงขีดสุดดังขึ้น
“เจี่ยงเฉิน อยากตายใช่มั้ย!”
เท่าที่ติงเซี่ยนฟัง เสียงนั้นมีความง่วงงุนและความงัวเงียที่ให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างประหลาด
เจี่ยงเฉินกลัวคุณชายน้อยที่งัวเงียเพิ่งตื่นคนนี้มากทีเดียว เขาทิ้งท้ายไว้ว่า “แม่นายเรียกกินข้าว” หลังจากนั้นก็รีบวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด วิ่งผ่านห้องรับแขกและห้องครัว
ทันใดนั้นเขาก็หันมาและมองตรงมาที่ติงเซี่ยนทันที จากนั้นก็พินิจดูเธอ
ติงเซี่ยนอยู่ข้างๆ คุณนายโจว ใส่กระโปรงสีขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม มือทั้งสองข้างวางบนตักอย่างเป็นระเบียบ ดูน่ารักเรียบร้อย มีเพียงหน้าผากที่ปูดเป็นลูกจนดูน่าขัน
เจี่ยงเฉินอึ้งงัน ในใจคิดว่าเด็กสาวคนนี้ไปตบตีกับใครที่ไหนมา
ด้านหลังโจวซือเยวี่ยขยี้ตางัวเงียลงบันไดมา สวมรองเท้าแตะเดินเสียงดัง มือทั้งสองสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ท่าทางสบายๆ เดินลงมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว พอมาถึงบันไดสองสามขั้นสุดท้ายเขาก็รีบก้าวอย่างรวดเร็ว ในที่สุดขาเรียวยาวก็ถึงพื้น จากนั้นก็เดินด้วยความเร็วปกติอีกครั้ง ขณะที่ผ่านเจี่ยงเฉิน เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งตบหัวเพื่อนไปทีหนึ่งพร้อมเอ่ยปากอย่างฉุนๆ
“อึ้งอะไร”
เสียงพูดของเขาเพราะมาก ดึงดูดคนได้ราวกับมีแม่เหล็ก เป็นเสียงผู้ชายที่เพราะที่สุดเท่าที่ติงเซี่ยนเคยได้ยินมา นอกจากนี้สำเนียงยังชัดเจนและฟังดูสบายๆ ไม่เหมือนสำเนียงปักกิ่งโง่ๆ ของเจี่ยงเฉิน
เจี่ยงเฉินกำลังจะถามเขาว่านี่คือใคร ปรากฏว่าคุณชายน้อยคนนั้นไม่ได้มองมาทางติงเซี่ยน เขาตรงมาที่โต๊ะอาหารและลากเก้าอี้ข้างซ่งอี๋จิ่นออกมานั่งลง ส่วนเจี่ยงเฉินตามมาทันทีและนั่งลงข้างเขา
ติงเซี่ยนที่เดิมทีก้มหน้า เมื่อได้ยินเสียงปึงปังนี้ก็เงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็โดนหนุ่มน้อยหัวรังนกทำให้ตกตะลึง
ที่แท้ก็คือคุณชายน้อยนั่นเอง ผิวพรรณดี กรอบหน้าและรูปร่างเหมือนจะสง่างามมาตั้งแต่กำเนิด
โจวซือเยวี่ยเพิ่งตื่น ผมยุ่งกระเซอะกระเซิง เขาใช้มือจัดให้เรียบร้อย ใบหน้านั้นนอกจากใต้ตาคล้ำที่เห็นได้ชัดแล้วก็แทบจะหาข้อเสียอื่นไม่ได้เลย
ติงเซี่ยนถอนใจ หล่อกระชากวิญญาณไปเลย หล่อกระชากวิญญาณจริงๆ!
โจวซือเยวี่ยไม่ได้สังเกตว่าบนโต๊ะมีคนแปลกหน้านั่งอยู่อีกสามคน เขามัวแต่ก้มหน้าซดน้ำซุปในมือตัวเอง จนเมื่อคุณนายโจวเอ่ยปากเรียกชื่อเขา
“ซือเยวี่ย”
“หืม?” โจวซือเยวี่ยซดน้ำซุปคำสุดท้ายเสร็จ เลียริมฝีปากและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
“นี่คือคุณน้าติง นี่คือติงเซี่ยน พวกลูกเคยเจอกันตอนเด็กๆ”
โจวซือเยวี่ยสายตาสั้นเล็กน้อย แต่ไม่ชอบใส่แว่น เขาหรี่ตาพยายามมองว่าเป็นใคร แต่ก็จำอะไรไม่ได้ ได้แต่โน้มตัวมาด้านหน้าและพูดอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณน้าติง” คำทักทายของเขาเป็นไปตามมารยาท ไม่ได้รู้สึกเกร็งกับคนแปลกหน้า ดูสบายๆ เป็นธรรมชาติอย่างมาก
หลังจากนั้นเขาก็หันสายตามาที่ติงเซี่ยน ลูบขอบปากเบาๆ ท่าทางดูดีมีชาติตระกูลที่สุด
หากเปรียบเทียบกันแล้ว ติงเซี่ยนก็เหมือนคนบ้า สายตาไม่รู้จะมองไปตรงไหน พยักหน้าอย่างเกร็งไปหมด หลังจากนั้นก็รีบก้มหน้ามองชามข้าวของตัวเองอย่างลนลาน ไม่รู้ว่าเขินอายอะไร
“นี่คงเป็นซือเยวี่ยสินะคะ โตขึ้นมาหล่อเหลาเชียวค่ะ” แม่ติงเซี่ยนยิ้มเหมือนมองลูกชายตนเอง “ตอนเด็กๆ น้าก็เคยอุ้มเธอนะ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะโตขนาดนี้แล้ว”
คุณพ่อโจวยิ้มเห็นด้วย รู้สึกใจหาย “ใช่ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
แม่ของติงเซี่ยนสะกิดลูกสาวที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ “เซี่ยนเซี่ยน นี่ซือเยวี่ยไงลูก ตอนเด็กๆ ลูกสองคนยังเคยนอนเตียงเดียวกันเลยนะ”
ทั้งสองอึ้งไปทั้งคู่
คุณนายโจวกระแอม เมื่อเห็นลูกชายคิ้วขมวดไม่พอใจก็รีบช่วยแก้สถานการณ์ “เรื่องตอนเด็กอย่าไปพูดถึงเลย ตอนนั้นเขาทั้งคู่ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ จริงสิ เซี่ยนเซี่ยน ได้ยินว่าหนูก็สอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานใช่มั้ยจ๊ะ”
ติงเซี่ยนยังไม่ทันได้สติกลับมา จู่ๆ พอโดนเรียกชื่อก็เอ่ยปากออกมาโดยไม่รู้ตัว “หกร้อยแปดสิบห้าคะแนนค่ะ”
ประโยคนี้กลายเป็นคำติดปากเธอไปแล้ว หลังจากสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษาได้ เยี่ยหวั่นเสียนก็เที่ยวอวดไปทั่วว่าเธอสอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซาน ทำเอาเวลาเธอออกไปข้างนอก พอเจอผู้คนก็จะถูกถามว่าสอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานเหรอ สอบได้กี่คะแนน
ดังนั้นหกร้อยแปดสิบห้าคะแนนจึงกลายเป็นคำติดปากเธอเพราะเหตุนี้
ก่อนหน้านี้ทั้งสองบ้านเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว คือตอนที่ติงเซี่ยนกับโจวซือเยวี่ยยังเล็กอยู่ คุณนายโจวก็ชอบติงเซี่ยนมาก เพราะเธอน่ารัก เชื่อฟัง และตั้งใจเรียน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าหกร้อยแปดสิบห้าคะแนนของเธอนั้นผิดปกติอะไร
แต่สำหรับพวกเด็กเรียนแย่บนโต๊ะอาหารนี้ คนอื่นยังไม่มีใครถามว่าเธอสอบได้กี่คะแนน เธอก็รีบบอกคะแนนตัวเองเสียแล้ว ถ้าไม่ใช่อวดจะเรียกว่าอะไร จะต่างอะไรกับพวกที่พูดว่า ‘ว้า ครั้งนี้ฉันสอบได้ไม่ดี สอบได้แค่เก้าสิบเก้าคะแนนเอง’
ตั้งแต่โบราณมาพวกเรียนแย่กับพวกเรียนดีก็เอามาเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว
หกสิบคะแนนของนักเรียนเรียนแย่จะไปเหมือนหกสิบคะแนนของนักเรียนเรียนดีได้อย่างไร