Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 1
แน่นอนว่าคุณชายน้อยบางคนมีรังสีข่มคนอื่นตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะสอบได้คะแนนมากกว่าเขา แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาต่างหากที่เป็นหนึ่งในโลกหล้า ติงเซี่ยนในเวลานั้นก็โดนข่มด้วยรังสีแห่งความสูงศักดิ์ของเขาเช่นกัน
“เซี่ยนเซี่ยนของพวกเราก่อนสอบอ่านหนังสือจนถึงตีสอง บอกยังไงก็ไม่ยอมฟัง ชอบเรียนเป็นพิเศษ” ทั้งที่รู้ว่าคะแนนของโจวซือเยวี่ยไม่สูงเท่าติงเซี่ยน เยี่ยหวั่นเสียนก็ยังจงใจถาม “ซือเยวี่ย เธอล่ะ สอบได้กี่คะแนนจ๊ะ”
“หกร้อยเจ็ดสิบครับ” โจวซือเยวี่ยตอบอย่างสงบนิ่ง
ติงเซี่ยนคำนวณโดยไม่รู้ตัวทันทีว่าโจวซือเยวี่ยอยู่อันดับที่เท่าไรของเมือง
เยี่ยหวั่นเสียนกล่าวอย่างแปลกใจ “ก็คาบเส้นพอดีน่ะสิ”
คุณนายโจวยิ้มเขินๆ อยากจะอธิบาย แต่กลับถูกเจี่ยงเฉินพูดแทรก “อาเยวี่ยมีพรสวรรค์ แค่สอบไปงั้นๆ ก็ผ่าน ก่อนสอบยังมาเล่นเกมกับพวกเราอยู่เลยครับ”
เด็กสาววัยแรกแย้มไวต่อความรู้สึกมาก แน่นอนว่าติงเซี่ยนฟังความนัยในคำพูดนี้ออกทันที เหมือนเจี่ยงเฉินกำลังพูดว่า ‘คุณดูสิ ลูกสาวคุณอ่านหนังสือถึงตีสองก่อนสอบก็สอบได้มากกว่าชาวบ้านแค่สิบห้าคะแนนเท่านั้นเอง’
จากนั้นเยี่ยหวั่นเสียนก็ย้ายหัวข้อสนทนามาที่เจี่ยงเฉินต่อทันที “แล้วเธอล่ะจ๊ะ สอบได้กี่คะแนน”
เจี่ยงเฉินยักไหล่ไม่แคร์
“คะแนนผ่านก็โอเคแล้วล่ะครับ” บวกกับสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดของคุณชายโจว ประโยคนี้ฟังแล้วแทบไปต่อไม่ถูก ทั้งยังน่าเก็บไปคิดอีกด้วย
เยี่ยหวั่นเสียนอยากจะพูดต่อ แค่คะแนนผ่านได้อย่างไร แน่นอนว่ายิ่งคะแนนเยอะก็ยิ่งดี ขาดไปคะแนนเดียวต้องจ่ายเงินตั้งเท่าไร เด็กๆ เมืองนี้รวยแล้วเอาแต่ใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ
คุณนายโจวอธิบาย “พวกเขาน่ะเป็นเด็กที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เป็นนักเรียนมัธยมเยี่ยนซานรุ่นสุดท้ายที่พอเรียนจบ ม.ต้น ที่นั่นแล้วก็สามารถขึ้นชั้น ม.ปลาย ได้เลย ดังนั้นสอบกี่คะแนนก็ได้เข้าเรียน”
เยี่ยหวั่นเสียนยิ้มอย่างอารมณ์ดีและภาคภูมิใจ ในที่สุดติงเซี่ยนก็ทำให้เธอได้หน้า
ซ่งอี๋จิ่นที่เงียบอยู่นานก็ถามติงเซี่ยนขึ้นมา “พี่ติงเซี่ยน พี่ได้ไปเรียนพิเศษช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนมั้ย”
“ไม่ได้ไปจ้ะ” ติงเซี่ยนส่ายหน้า
เจี่ยงเฉินตกใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “ฮึ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ช้าไปหน่อยแล้ว พวกซือเยวี่ยเขาเรียนวิชาครึ่งเทอมแรกของ ม.สี่ จบแล้วนะ”
“ยังไม่มีการแจกหนังสือเรียนเลยไม่ใช่เหรอ”
เจี่ยงเฉินอธิบาย “อ้อ ก็ยืมจากรุ่นพี่ปีก่อนสิ เออ ใช่สิ เธอน่าจะเป็นนักเรียนคนแรกที่มาจากเหยียนผิง น่าจะไม่มีคนรู้จักให้ยืม”
เธอเป็นนักเรียนคนที่สองที่มาจากเหยียนผิงต่างหาก แต่นัยการเสียดสีประชดประชันในคำพูดนั้นชัดเจนเสียเหลือเกิน ติงเซี่ยนจึงขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วย
ติงเซี่ยนมองไปที่โจวซือเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ เขากำลังหมกมุ่นกับการแกะกุ้งโดยไม่สนใจบทสนทนาใดๆ บนโต๊ะอาหารแม้แต่น้อย
คุณชายน้อยก็คือคุณชายน้อย ดูเหมือนว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามช่างยากนักที่จะทำให้เขาสนใจได้
เยี่ยหวั่นเสียนรีบพูดต่อ “ติงเซี่ยนไม่ต้องเรียนพิเศษหรอกจ้ะ เธอฉลาดมาก เรียนแป๊บเดียวก็รู้เรื่อง ไม่ต้องให้พวกเราคอยเป็นห่วง แล้วก็ยังเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น”
คุณลุงโจวพยักหน้าเห็นด้วย “ติงเซี่ยนน่ะ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ในอนาคตต้องได้ดีแน่ๆ”
“ใช่ค่ะ ไม่เคยทำให้ฉันต้องกังวลเลย ซือเยวี่ยจ๊ะ ต่อไปถ้าเธอมีปัญหาด้านการเรียนอะไรก็มาคุยกับติงเซี่ยนได้นะจ๊ะ ติงเซี่ยนรู้เรื่องหมดแหละจ้ะ”
โจวซือเยวี่ยแกะกุ้งตัวสุดท้ายเข้าปากและตอบพลางจะยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ได้ครับ”
“นั่นแหละดีเลย” เยี่ยหวั่นเสียนยิ้มจนตีนกาลากยาวไปถึงหลังศีรษะ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีก “พวกลูกๆ ก็สนิทสนมเรียนรู้กันไว้ อย่างน้อยคุณปู่ของพวกลูกก็เคยหมั้นหมายเธอทั้งสองคนไว้ตั้งแต่เด็ก”
พวกวัยรุ่นบนโต๊ะอาหารตะลึงงันกันทั้งโต๊ะ
การหมั้นหมายตั้งแต่เด็กไม่ค่อยเห็นกันแล้วในยุคสมัยของพวกเขา แต่กลับมาเกิดขึ้นกับคุณชายน้อย ในวินาทีนั้นแม้แต่ซ่งอี๋จิ่นที่กำลังคุยกับติงเซี่ยนอยู่ก็ถึงกับหยุดพูดแล้วอ้าปากค้าง
ติงเซี่ยนมองไปโดยไม่รู้ตัว เผอิญเห็นโจวซือเยวี่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมุมปากด้านหนึ่งยกขึ้น สีหน้าไร้ความรู้สึก
คุณลุงโจวกระแอมและส่งสายตาให้คุณนายโจว “เรื่องนี้มีอยู่จริง แต่พูดขึ้นมาตอนนี้ออกจะเร็วไปหน่อยมั้ย ยังไงพวกเขาก็เพิ่งจะขึ้น ม.ปลาย”
“ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรนะคะ…” เยี่ยหวั่นเสียนพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็โดนตัดบท คนบนโต๊ะอาหารหันมองไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
“ถอนหมั้นต้องทำยังไงบ้างครับ”
คำพูดนี้สำหรับเจี่ยงเฉินแล้ว มันคือสไตล์ของโจวซือเยวี่ยไม่ผิดเพี้ยน เขาเป็นคนหัวสูง การที่เขาจะไม่ถูกใจผู้หญิงแบบติงเซี่ยนที่ดูแล้วธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้เขายังเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยอ้อมค้อม ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ขี้เกียจจะคุย บวกกับอยู่ในวัยที่ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่เด็กโจวซือเยวี่ยไม่ค่อยได้เจอผู้หญิง ไม่รู้วิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง บรรดาเพื่อนนักเรียนหญิงที่อยากจะเข้ามาจีบเขา โดยรวมแล้วคุยกันได้ไม่เกินสามประโยค เขาก็ทำจนพวกเธอไม่รู้จะคุยต่ออย่างไร พูดประโยคเดียวก็คือเขาเป็นคนตรงมาก
เวลาที่โจวซือเยวี่ยยิ้ม เขาดูอ่อนโยนไปหมด แต่เวลาเขาเม้มปากสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาก็ดูดุมากทีเดียว
เยี่ยหวั่นเสียนยิ้มค้างอยู่ที่มุมปาก ส่วนติงเซี่ยนก้มหน้า หยิบตะเกียบยัดข้าวเข้าปากคำโตราวกับไม่รู้เรื่องใดๆ
อาหารมื้อนี้กินกันอย่างกระอักกระอ่วน เจี่ยงเฉินกินหมดด้วยความเร็วแสงแล้วรีบวิ่งไปเล่นเกมต่อที่ชั้นบน โจวซือเยวี่ยก็อยากไป แต่โดนคุณนายโจวรั้งไว้
คุณชายน้อยนั่งไขว่ห้างบนโซฟา ขมวดคิ้วอย่างเริ่มจะรำคาญ เพราะว่าติงเซี่ยนยังกินข้าวไม่เสร็จ เยี่ยหวั่นเสียนเห็นดังนั้นจึงสะกิดลูกสาวเป็นการบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว และให้รีบไปคุยกับโจวซือเยวี่ย
ติงเซี่ยนยัดข้าวใส่ปากคำใหญ่ “ไม่รู้จะคุยอะไร”
เยี่ยหวั่นเสียนกัดฟัน “ถ้าไม่เชื่อ แม่ตีนะ”
เมื่อโดนแม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับ ติงเซี่ยนก็รีบกินข้าวในชามจนหมดเกลี้ยงอย่างไม่เต็มใจ และโดนผลักไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
โจวซือเยวี่ยนั่งจมอยู่ในโซฟา มือหนึ่งพาดพนักไว้ อีกมือวางบนขาตามสบาย เขายื่นรีโมตให้เธอพลางเลิกคิ้ว ไม่พูดไม่จาสักคำ
ติงเซี่ยนนั่งอย่างเรียบร้อย หันหลังให้เขา เลือกช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย “นายไปเล่นเกมกับพวกเขาเถอะ ฉันดูโทรทัศน์คนเดียวได้”
โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองเธอและลองหยั่งเชิงดู “งั้นฉันไปนะ”
ติงเซี่ยนพยักหน้า รีบไปสระผมที่ยุ่งเหมือนรังนกของนายเถอะ