Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 2
เพื่อนนักเรียนพากันหัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่โชคดีที่กริ่งเข้าเรียนดังขึ้นเสียก่อน จึงเงียบลงได้ในที่สุด
ครูวิชาคณิตศาสตร์ใส่รองเท้าส้นสูงเดินส่งเสียงก๊อกๆๆ ที่ระเบียงเข้ามาทางประตู เอาหนังสือวางที่แท่นบรรยายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“มาจ้ะ นักเรียน เปิดหนังสือบทที่สาม”
โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองติงเซี่ยนที่กำลังฟุบอยู่ หน้าแดงจนถึงลำคอ ทำไมถึงได้แดงง่ายขนาดนี้
“พอแล้ว ไม่มีคนมองเธอแล้ว ได้เวลาเรียนแล้ว” พูดไปพร้อมกับเปิดหนังสือ ‘อาหารเลิศรสในโลกมนุษย์’ ของเขา
ติงเซี่ยนเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ เผยให้เห็นดวงตาที่สดใส เธอมองไปรอบๆ หลังจากนั้นก็เห็นคุณชายน้อยคนนั้นกำลังมองเธอกึ่งยิ้ม
เธอค้อนเขาทีหนึ่ง นั่งตัวตรงแล้วหยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์ในลิ้นชักออกมา เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน แต่ลิ้นชักเต็มไปด้วยสมุดจด แถมยังติดโพสต์อิตหลากสีเอาไว้มากมาย
ครูผู้หญิงบนแท่นบรรยายเขียนบนกระดานอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ลายมือสวยเหมือนเจ้าตัว
“วันนี้ครูจะสอนเรื่องอินเตอร์เซกชั่นและยูเนียน”
ติงเซี่ยนหยิบปากกาจดยิกๆ โจวซือเยวี่ยส่ายหน้า เบ้ปาก ขี้เกียจยุ่งกับเธอ ดังนั้นจึงเปิดหนังสือของตัวเอง
จบไปหนึ่งวิชา ติงเซี่ยนก็จดจนเต็มเล่มเต็มหน้าไปหมด
ไม่ทันระวังจึงทำให้เด็กสาวโต๊ะข้างหน้าหันมาเห็นเข้าและทักเธอด้วยความแปลกใจ
“ติงเซี่ยน เธอจดไวจัง เรียนคาบเดียวเขียนได้เยอะขนาดนี้?”
ต้องอย่างนี้สิ! นักเรียนดีๆ พอเห็นบันทึกของเธอก็ควรต้องตกตะลึงว่าเธอจดสิ่งที่ครูพูดได้ครบถ้วนขนาดนี้ได้อย่างไรถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ
เด็กสาวโต๊ะข้างหน้าชื่อข่งซาตี๋ สอบเข้ามาด้วยคะแนนหกร้อยแปดสิบคะแนน อยู่อันดับที่สี่สิบ ทั้งคู่เป็นเด็กสาวที่อยู่ในโซนกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน พอรู้จักกันก็สนิทกันง่าย เข้ากันได้ดี ไม่นานก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานของติงเซี่ยน
“ไปเข้าห้องน้ำด้วยกันเถอะ!” ข่งซาตี๋ชวนเธออย่างเป็นมิตร
“เอาสิ!” ติงเซี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือกันไปเข้าห้องน้ำอย่างสนิทสนม
แน่นอนว่าโจวซือเยวี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าจากประโยคของเด็กสาวที่ว่า ‘เธอจดไวจัง’ จนถึง ‘ไปเข้าห้องน้ำด้วยกันเถอะ’ ใช้เวลารวมแค่สามนาที แต่ทำไมจู่ๆ ถึงสนิทกันขึ้นมาได้อย่างนี้
แต่เขาก็ไม่ได้อยากทำความเข้าใจแต่อย่างใด
ซ่งจื่อฉีเพื่อนร่วมโต๊ะของข่งซาตี๋ก็ไม่เข้าใจ หันหลังไปถามอย่างสงสัย
“กลไกสมองของผู้หญิงมันง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ”
โจวซือเยวี่ยเหยียดขายาว หลังพิงพนักเก้าอี้ โยกเก้าอี้ไปด้านหลัง ก้มหน้าเปิดหนังสือในมือแล้วพูดโดยไม่เงยหน้า
“ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่กล้าพูดหรอกนะ” เขาเงยหน้า ใช้คางพยักพเยิดไปยังที่นั่งของติงเซี่ยน “แต่คนไม่เต็มแบบนี้ไม่มีกลไกสมองหรอก ในหัวมีเส้นสมองแค่เส้นเดียวเท่านั้นแหละ”
ซ่งจื่อฉีมองเขาอย่างแปลกใจ “ถ้าคิดแบบนี้ แสดงว่านายคงไม่ได้ชอบเธอสินะ”
โจวซือเยวี่ยยิ้มแล้วหยิบหนังสือบนโต๊ะโยนไปที่เขา “ชอบเธอ? ชอบนายยังดีซะกว่า”
ซ่งจื่อฉีเอียงศีรษะหลบ ทำให้หนังสือตกลงพื้นเสียงดังพั่บ “โอเคๆ”
ขายาวๆ ของโจวซือเยวี่ยลอดผ่านใต้โต๊ะมาเตะเก้าอี้ซ่งจื่อฉี “หันกลับไป!”
ซ่งจื่อฉีเก็บหนังสือขึ้นมาอย่างรู้ตัวและเอามาวางให้เขาอย่างดี
“เมื่อกี้เจี่ยงเฉินบอกว่าเลิกเรียนจะไปเตะบอล”
“อือ”
ซ่งจื่อฉีนอนฟุบบนโต๊ะของเขาและถามต่อ “พวกนายยังไม่ได้ถอนหมั้นกันเหรอ”
“ยัง” โจวซือเยวี่ยตอบเสียงเรียบๆ
“แล้วนายจะยังถอนอยู่มั้ย”
“ถอน” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นมาก จากนั้นเขาก็เปิดหนังสือไปอีกหน้าหนึ่ง ทำท่าราวกับกำลังตอบคำถามง่ายๆ จำพวกกินข้าวหรือยัง
“ก็จริงอยู่นะ ดูไปแล้วเธอไม่ใช่แบบที่นายชอบ จริงๆ ฉันคิดว่าสาวน้อยคนนี้ก็ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนที่เห็นที่บ้านวันนั้น แต่หลักๆ ก็คือแม่ของเธอ ความจริงเธอก็น่ารักดีนะ นายดูสิ เมื่อกี้นี้เธอ…” จากนั้นซ่งจื่อฉีก็เลียนแบบท่าทางของติงเซี่ยนเมื่อครู่ ดัดเสียงแล้วพูดขึ้น “ฉันสามแปด น่ารักออก ไม่มีพิษมีภัยเลย”
ครั้งนี้เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ปรากฏว่าพอพูดจบก็เห็นติงเซี่ยนควงแขนข่งซาตี๋ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนหน้านี้เด็กสาวยังยิ้มอยู่ วินาทีต่อมาเมื่อเห็นเขา เธอก็หน้าคว่ำทันที
ซ่งจื่อฉีหันกลับไปอย่างกระอักกระอ่วน
ติงเซี่ยนปล่อยมือข่งซาตี๋และดึงเก้าอี้ออกมานั่งด้วยสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ หลังจากนั้นก็เอาหนังสือกับเครื่องเขียนทั้งหมดที่วางไว้ข้างๆ โจวซือเยวี่ยย้ายไปวางอีกฝั่ง และขยับโต๊ะตัวเองไปยังอีกฝั่งด้วย ตรงกลางระหว่างโต๊ะเหลือช่องว่างไว้ราวกับขีดเส้นแบ่งกับเขาอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นก็ขยับเก้าอี้ไปยังอีกฝั่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่โดนของของโจวซือเยวี่ย เมื่อสบายใจแล้วก็คุยเรื่องการจดบันทึกกับข่งซาตี๋อย่างสนิทสนมต่อ
โจวซือเยวี่ยเข้าใจว่าเธอเอาอารมณ์โกรธมาลงที่เขา เขาจึงเลิกคิ้วพลางยิ้ม และจู่ๆ ก็พูดขึ้น “ซ่งจื่อฉี”
คนตรงหน้าหันมาอย่างเชื่อฟัง “ฮะ?”
โจวซือเยวี่ยดึงขาเข้ามา เก้าอี้จึงกลับมาตั้งบนพื้นเสียงดังปึง เขาปิดหนังสือในมือและโยนไปบนโต๊ะพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มแข็งๆ
“นายมาปลอบเพื่อนร่วมโต๊ะฉันหน่อย ถ้าปลอบจนเธออารมณ์ดีได้ เย็นนี้เตะบอล ฉันยอมต่อให้นายสามลูก”
ติงเซี่ยนที่กำลังคุยเรื่องจดบันทึกกับข่งซาตี๋อยู่อึ้งไป รู้สึกว่าสมองน่าจะเสื่อมไปแล้ว ขณะนั้นทำไมเธอถึงได้ยินว่า…
มา มาปลอบแฟนฉันหน่อย
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจริงๆ
“ยายสัตว์ประหลาด ขอโทษนะ”
ซ่งจื่อฉีเหมือนได้รับใบสั่งจริงๆ เขาหันกลับมาและพูดกับติงเซี่ยนด้วยสีหน้าจริงใจ ท่าทางรู้สึกผิดจนทำให้ข่งซาตี๋เห็นแล้วสงสาร
ข่งซาตี๋เขย่าแขนติงเซี่ยนที่วางอยู่บนโต๊ะและขอร้องเธอเสียงเบา “เซี่ยนเซี่ยน เธอยกโทษให้เขาเถอะนะ”
ติงเซี่ยนมองไปที่ข่งซาตี๋โดยไม่พูดอะไร ในหัวสมองเต็มไปด้วยคำว่ามาปลอบแฟนฉันหน่อย ทำให้เธอรู้สึกอับอายเหลือเกิน
ไม่รอให้เธอพูด คุณชายโจวที่เปิดหนังสืออ่านอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่เงยหน้า
“เอาคำข้างหน้าออกไปแล้วพูดใหม่”
ซ่งจื่อฉีถลึงตามอง อยากถามว่ามันต้องถึงขั้นนั้นมั้ย เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายสักหน่อย แต่สีหน้าของคุณชายน้อยคนนั้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นายปลอบให้เธออารมณ์ดีก็แล้วกัน’ ซ่งจื่อฉีจึงทำปากจู๋ จากนั้นก็เอ่ยปาก
“ติงเซี่ยนเพื่อนรัก…” แต่ยังพูดไม่ทันจบ ติงเซี่ยนก็ตัดบทเสียงเบา
“มะ…ไม่ต้องแล้ว…ฉันยกโทษให้นาย”
แสงแดดร้อนระอุสาดเข้ามาทางหน้าต่าง แสงนั้นส่องลงบนตัวเธอ ผมดูสว่างเป็นประกายเงางาม ขอบหูแดงก่ำ น้ำเสียงอ่อนโยน
ซ่งจื่อฉีมองโจวซือเยวี่ยพลางยักคิ้วเล็กน้อย
ติงเซี่ยนพูดดังขึ้น กลัวว่าจะมีคนไม่ได้ยิน “ฉะ…ฉันเห็นแก่ซาตี๋นะ” เมื่อพูดจบก็รีบก้มหน้าอย่างรวดเร็ว แกล้งพลิกหนังสือบนโต๊ะมือไม้เป็นพัลวัน
ซ่งจื่อฉีพยักหน้า “ฉันเข้าใจ” เมื่อพูดจบก็จงใจชำเลืองมองโจวซือเยวี่ยพร้อมพูดขึ้นมา “ฉันจะขอบคุณเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันเป็นอย่างดี แต่ยังไงก็ตามฉันคิดว่ามีบางอย่างที่ควรอธิบายให้เธอเข้าใจ ที่บ้านซือเยวี่ยวันนั้น บางทีอาจเป็นเพราะแม่ของเธอที่ทำให้พวกเรารู้สึกแย่ๆ กับเธอ แต่ต่อจากนี้ทุกคนต้องเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน ฉันไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น ส่วนตัวฉันไม่ได้มีอคติกับเธอนะ” หลังจากนั้นก็ยิ้มให้ข่งซาตี๋และพูดอย่างสนิทสนม “มา เพื่อนร่วมโต๊ะ พวกเราหันกลับมาเถอะ”
ข่งซาตี๋หน้าแดงจากประโยคที่ว่า ‘พวกเราหันกลับมาเถอะ’ เธอจึงกอดสมุดหันกลับไปอย่างเขินอาย ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองหน้ามึน หันกลับไปมองติงเซี่ยนอีกครั้งอย่างงงๆ เพราะหน้าของเธอก็แดงเช่นกัน
นิสัยคิดเล็กคิดน้อยของผู้หญิงในวัยนั้น สำหรับผู้ชายแล้วมันช่างแปลก ยากแท้หยั่งถึง เหมือนกับท่าทางของข่งซาตี๋ในตอนนี้ ในหัวของซ่งจื่อฉีก็มีแต่คำว่า ‘ป่วย’
ยิ่งโจวซือเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ เห็นๆ อยู่ว่าตัวเขาเองเป็นคนบอกให้ซ่งจื่อฉีขอโทษติงเซี่ยน แต่ทำไมกลายเป็นว่าเห็นแก่หน้าข่งซาตี๋ ยิ่งไปกว่านั้นพอซ่งจื่อฉีขอโทษติงเซี่ยน เธอกลับหน้าแดงเสียอย่างนั้น
ตอนแรกที่เธอบอกว่าจะไม่ยอมถอนหมั้น หน้าออกจะหนาไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้หน้าบางเหมือนกระดาษเสียแล้วล่ะ
อารมณ์ในวัยเยาว์เหมือนสุรา ตอนเพิ่งเริ่มลิ้มรสไม่รู้สึกอะไร พอนานเข้าและย้อนกลับไปนึกถึงก็มักจะเจอร่องรอยของความทรงจำที่แปลกประหลาด ในตอนนั้นวัยรุ่นที่มีไอคิวค่อนข้างสูงทั้งสองคนได้แต่เพียงให้คำจำกัดความผู้หญิงไว้ว่าเป็นอะไรที่คุยกันไม่รู้เรื่อง