Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 2
อากาศร้อนแสงอาทิตย์สาดส่อง โรงเรียนร้อนอบอ้าวราวกับซึ้งนึ่ง จักจั่นนอกหน้าต่างส่งเสียงร้องอย่างอารมณ์ดี ต้นไม้สูงเสียดฟ้าแย้มยิ้ม
น่าจะตั้งแต่ตอนนั้นที่ติงเซี่ยนเริ่มหันมาสนใจโจวซือเยวี่ย
แทบจะทุกชั้นเรียนล้วนมีคนสองจำพวก พวกเรียนเก่งที่เรียนอยู่ตลอดเวลา และพวกเรียนไม่เก่งที่คอยก่อกวนตลอดเวลา
ในห้องนี้ก็มีคนสองจำพวกเช่นกัน แต่เป็นพวกเรียนเก่งที่ขยันเรียน และพวกเรียนเก่งที่ไม่ตั้งใจเรียน
และโจวซือเยวี่ยเป็นพวกหลัง
หลังเลิกเรียน วันๆ เรื่องที่เขาคุยกับคนอื่นก็มีแต่เรื่องบาสเกตบอล ฟุตบอล เอ็นบีเอ* เกม บางครั้งก็คุยเรื่องทหาร โดยสรุปก็คือไม่ทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียน แต่บางครั้งพอมีคนถามโจทย์คณิตศาสตร์เขา เขาก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งยังอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
เขาเก่งวิชาคณิตศาสตร์มากเป็นพิเศษ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีโจทย์ไหนที่เขาทำไม่ได้ โจทย์บางข้อแค่กวาดสายตาเขาก็รู้คำตอบแล้ว
แต่เขาขี้เกียจมาก หากเปิดเจอโจทย์เก่าที่เคยทำแล้วก็จะโยนสมุดทิ้งเลย อันที่ยังไม่เคยทำก็จะเขียนลำดับขั้นตอนการคำนวณไว้
ช่วงพักกลางวันวันนี้ข่งซาตี๋ถือกล่องอาหารมาเล่าความลับที่รู้มาจากซ่งจื่อฉีให้เธอฟัง วางตะเกียบลง ตั้งใจจะยั่วให้ติงเซี่ยนอยากรู้
“ฉันมีข่าวมาบอก เธออยากฟังมั้ย”
“ข่าวอะไรเหรอ พรุ่งนี้หยุดเหรอ”
ข่งซาตี๋ร้อง “ไอ้หยา ทำไมเธอไม่รักเรียนขนาดนี้เนี่ย ฟังนะ นี่มันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ”
สุดท้ายก็ดึงความสนใจของติงเซี่ยนได้สำเร็จจริงๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาจากกล่องข้าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางลึกลับและมีนัยซ่อนเร้นของเพื่อนก็รู้สึกว่าตัวเองมีปฏิกิริยาอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป ดังนั้นจึงกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อนและก้มหน้าต่อ เคาะตะเกียบเป็นระยะๆ แสร้งทำเป็นถามโดยไม่ตั้งใจ
“ข่าวอะไรเหรอ”
ข่งซาตี๋จงใจแกล้งเธอ “เธอตอบคำถามฉันมาข้อนึงก่อน”
ติงเซี่ยนเงยหน้าอีกครั้ง “คำถามอะไร”
ข่งซาตี๋ยิ้ม “เธอชอบโจวซือเยวี่ยใช่มั้ย”
ข้าวติดอยู่ที่คอไม่ยอมลงสักที ติงเซี่ยนไอออกมาอย่างแรง ใบหน้าเล็กๆ แดงไปหมด ข่งซาตี๋ตกใจจึงรีบส่งน้ำของตัวเองให้เธอ
“ไม่น่านะ แค่เอ่ยชื่อธรรมดาๆ เธอก็ถึงขนาดทนไม่ได้เลยเหรอ”
ติงเซี่ยนใช้เวลาอยู่นานกว่าจะไอจนกลืนข้าวในคอคำนั้นลงไปได้ จากนั้นก็เงยหน้ากินน้ำติดต่อกันหลายอึกแล้วหันหน้าไปข้างๆ
“ฉันไม่ได้ชอบเขา หน้าที่ของพวกเราตอนนี้คือเรียนหนังสือ”
เวลาพูดสายตาของเธอชำเลืองไปข้างๆ บังเอิญเห็นโจวซือเยวี่ยกับพวกเจี่ยงเฉินนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่พอดี พวกเขากำลังพูดคุยหัวเราะกันโดยมีซ่งอี๋จิ่นนั่งอยู่ด้วย
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเลือกกิน ทั้งยังกินข้าวคำใหญ่และรวดเร็ว ไม่มีโรคลูกคุณหนูติดตัวสักนิด
โจวซือเยวี่ยกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าเบื้องหน้ามีสายตาอันร้อนระอุจ้องมองมา เขาเงยหน้ากวาดตาไปรอบๆ อย่างมึนงง ทันใดนั้นสายตาทั้งคู่ก็ประสานกันกลางอากาศพอดี
ติงเซี่ยนรีบหันไปทางอื่น ปิดฝาแก้วน้ำและวางไว้ข้างๆ จากนั้นก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ แต่พอหยิบตะเกียบขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ
หลบทำไมกัน ตัวเองไม่บริสุทธิ์ใจงั้นเหรอ ยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผยไปเลยสิ สง่างามอย่างภาคภูมิ จะต้องไปกลัวใครที่ไหนกัน
ดังนั้นเธอจึงหันกลับไป ส่งยิ้มให้โจวซือเยวี่ย ยิ้มอย่างที่เธอคิดว่าเปิดเผยและตรงไปตรงมาที่สุด
โจวซือเยวี่ยอึ้งไปสักพัก จู่ๆ ก็ยักไหล่หัวเราะทีหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าคุณชายเหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าเจี่ยงเฉินที่อยู่ตรงข้ามกำลังถามว่าเขาหัวเราะอะไร โจวซือเยวี่ยที่หลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ขายาวๆ ของเขาเหยียดยาวอยู่ใต้โต๊ะ ใช้คางพยักพเยิดไปทางติงเซี่ยน เจี่ยงเฉินและซ่งจื่อฉีจึงพากันมองมาทางนี้
วินาทีต่อจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะระเบิดออกมาอย่างพร้อมเพรียงพักหนึ่ง
ติงเซี่ยนแปลกใจ กำลังจะหันไปดูก็ได้ยินข่งซาตี๋พูดอย่างลังเล “เซี่ยนเซี่ยน เธอมีผักติดฟัน”
หลายปีหลังจากนั้นมีคนถามในจือฮู[1] ว่าใจที่เหลือเพียงเศษเถ้าถ่านเป็นความรู้สึกอย่างไร
ติงเซี่ยนตอบไปว่าช่วงกลางวันที่แสงอาทิตย์สดสวย กินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียนแล้วบังเอิญเจอคนที่แอบชอบ จึงส่งยิ้มที่ตนเองคิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดให้เขา แต่เพื่อนสนิทกลับบอกว่า ‘เธอมีผักติดฟัน’
ความทรงจำมักจะมีการปรุงแต่งเสมอ
วันเวลาต่อจากนั้นไม่ว่าจะกลับมาย้อนคิดถึงตอนไหน เธอมักจะรู้สึกว่าตนเองเริ่มชอบโจวซือเยวี่ยตั้งแต่ประโยคที่ว่า ‘นายมาปลอบเพื่อนร่วมโต๊ะฉันหน่อย’
แต่เธอในตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่ขัดแย้งภายในตัวเองอย่างรุนแรง
ติงเซี่ยนหันกลับไปอย่างอับอายและโมโห เธอได้ยินคุณชายโจวส่งเสียงเย็นชาตามมา “พอแล้ว อย่าหัวเราะเลย” เขามีบารมีมาตั้งแต่กำเนิดจึงทำให้คนมักเชื่อฟังคำพูดของเขา เจี่ยงเฉินกับซ่งจื่อฉีล้วนแต่เชื่อฟังเขาเป็นพิเศษ
ตอนนั้นติงเซี่ยนแค่คิดว่าเป็นเพราะคุณลุงโจว แต่พอนานวันเข้า สุดท้ายเธอก็เข้าใจว่าต่อให้เขาบอกว่าบนดวงจันทร์มีมนุษย์ต่างดาว พวกเขาก็เชื่อ รวมถึงตัวเธอเองด้วย
โจวซือเยวี่ยในช่วงวัยรุ่น เวลาจริงจังดูแล้วเย็นชา เวลาล้อเล่นตลกขบขัน มาดก็หายไปหมด แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็มักจะมีความมั่นใจประเภท ‘ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา เขาคนเดียวก็แบกไว้ได้’ ออกมาจากตัวเขาอยู่เสมอ
เมื่อพวกเขาไปกันหมดแล้ว ข่งซาตี๋จึงบอกติงเซี่ยน “ตอนเรียนฉันได้ยินซ่งจื่อฉีพูดว่าโจวซือเยวี่ยสอบวิชาคณิตศาสตร์กลางภาคได้คะแนนเต็ม”
ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์กลางภาคปีนี้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะโจทย์ใหญ่ข้อแรก คนที่ตอบได้มีอยู่ไม่กี่คน ตอนที่ติงเซี่ยนเพิ่งเข้ามาก็ได้ยินคนคุยกันว่าสุดท้ายแล้วโจทย์ใหญ่ข้อนั้นทั้งเมืองมีแค่สี่ห้าคนที่ตอบได้
คะแนนโดยเฉลี่ยปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโดยรวมแล้วลดลง แค่ข้อสอบธรรมดาของปีที่แล้ว สอบได้คะแนนเต็มก็มีไม่กี่คนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าการที่สอบได้คะแนนเต็มในปีนี้ถือว่าเก่งมาก
ข่งซาตี๋พูดต่อไป “เขาเป็นแชมป์จินตคณิตระดับประเทศ”
ถึงว่าเวลาทำโจทย์คำนวณ เขาจะเขียนคำตอบทันทีตลอด ไม่เคยใช้เครื่องคิดเลขหรือทดในกระดาษเลย
ติงเซี่ยนถอนหายใจ “อีกหน่อยเรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องมาบอกฉันหรอกนะ”
“อ้าว? ทำไมล่ะ” ข่งซาตี๋ถามต่อ “ทนไม่ได้เหรอ”
ปกตินั่งข้างเขาก็กดดันมากพออยู่แล้ว
เธอรู้มั้ยว่าเวลาเรียน เขาไม่เคยจดบันทึกเลย
เธอรู้มั้ยว่าเขาไม่เคยฟังครูสอนเลย แต่ก็สามารถตอบครูได้อย่างคล่องแคล่ว
เธอรู้มั้ยว่าโจทย์คณิตศาสตร์ที่ฉันทดในกระดาษนานสองนานแต่ยังคำนวณผิด เขากลับเขียนฉับๆ สองทีก็เสร็จ เข้าใจความรู้สึกฉันตอนนั้นมั้ย
แต่เอาเถอะ เรื่องพวกนี้เธอไม่รู้ทั้งนั้น