Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 2
ติงเซี่ยนก้มหน้า ดวงตายากจะปกปิดความสิ้นหวัง เงาร่างเล็กๆ มองดูแล้วน่าสงสารไม่ใช่น้อย เธอรู้สึกว่าตัวเองพยายามเรียน ตั้งใจเรียนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับคนอื่นที่ใช้เวลากวาดตาอ่านหนังสือแค่ไม่กี่นาทีก็เข้าใจ
ติงเซี่ยนไม่ใช่พวกมีพรสวรรค์ ผลสำเร็จและคะแนนทั้งหมดของเธอล้วนมาจากหนังสือทุกๆ เล่มที่เธออ่าน โจทย์ทุกๆ ข้อที่เธอพยายามทำ
แต่ก่อนตอนอยู่เหยียนผิง เธอเป็นลูกรักของคุณครู เพราะเธอเป็นคนอดทน มีความพยายามและตั้งใจ ทั้งเป็นเด็กดี ทั้งเชื่อฟังครู นักเรียนในเมืองส่วนใหญ่ที่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ หรือเรียนๆ เล่นๆ กันจนจบมัธยมศึกษาตอนต้นก็จะไปเรียนอาชีวะ หรือไม่ก็ไปรับจ้างทำงานกันเสียเป็นส่วนใหญ่
มีแต่เธอที่ดิ้นรนสุดชีวิตในบ่อปลานี้
เธอคิดว่าหากข้ามประตูมังกร* นี้ได้ ไก่ป่าก็จะกลายเป็นหงส์
แต่เมื่อเข้ามาในประตูมังกรนี้แล้วถึงได้รู้ว่าเธอก็เป็นแค่เพียงหัวหน้าไก่ป่าที่อยู่ปลายหางหงส์เท่านั้น
พอกินข้าวกลางวันเสร็จก็กลับไปที่ห้องเรียน
แปลกมากที่โจวซือเยวี่ยไม่ได้ไปเตะบอล แต่นั่งไขว่ห้างคุยกับคนอื่นอยู่ แสงอาทิตย์สีทองอร่ามส่องเข้ามาทางหน้าต่างและสาดไปที่ผมเขา ทำให้ผมเขาดูนุ่มลื่น น่าลูบอย่างอดไม่ได้
ไม่นานนักก็มีเพื่อนนักเรียนหญิงถือโจทย์มาถามเขา
เวลาโจวซือเยวี่ยอธิบายโจทย์กับคนอื่นก็จะทำท่าทำทาง หยิบปากกาวาดๆ วงๆ บนกระดาษ คนอื่นยังไม่ทันรู้สึกตัว เขาก็อธิบายเสร็จแล้ว
เพื่อนนักเรียนหญิงหน้าแดง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “นายพูดอีกรอบได้มั้ย” แต่เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เพื่อนนักเรียนหญิงก็กลัวจะทำให้เขารำคาญจึงรีบดึงโจทย์กลับไป “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกลับไปลองคิดดูอีกที”
โจวซือเยวี่ยพยักหน้า “อืม”
ติงเซี่ยนฟุบหน้าลงบนโต๊ะขณะทำการบ้านคณิตศาสตร์
เวลาพักเที่ยงจักจั่นที่ไต่บนต้นไม้ส่งเสียงร้องอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย บรรยากาศในโรงเรียนช่วงใกล้บ่ายมักจะเงียบสงบเป็นพิเศษ แม้แต่แสงอาทิตย์ก็ยังอบอุ่น การบ้านวิชาคณิตศาสตร์วางอยู่บนโต๊ะเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ยังไม่ได้เขียนสักตัว
ผ่านไปแวบเดียวเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้นก็ถือโจทย์มาอีกแล้ว
ติงเซี่ยนลุกขึ้นทันที ปิดสมุดและยิ้มกับเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้นอย่างเปิดเผยพร้อมกับพูดอย่างมีน้ำใจ
“พวกเราแลกที่นั่งกันเถอะ เธอมานั่งที่ฉันแล้วกัน”
พวกเราล้วนแต่เคยเป็นโรคชนิดหนึ่ง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือโรคแมรี่ ซู
หญิงสาวที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเพ้อฝันเล็กน้อย คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกในชีวิตจริง ชอบแผ่รัศมีนางเอก บางคนที่อาการหนักจะมีอาการจิตใจเปราะบางและทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจิตใจร่วมด้วย
อารมณ์ของหญิงสาวมักจะเป็นบทกลอน
เธอพูดปกป้องฉันเพียงประโยคเดียว ฉันจะรักเธอทั้งชีวิต
และความรักของวัยรุ่นก็มักจะขัดแย้งถึงขั้นสุด เมื่อวานรักเธอ วันนี้เธอคุยกับผู้หญิงคนอื่น พรุ่งนี้ฉันก็ไม่รักเธอแล้ว หรือเมื่อวานไม่รักเธอ วันนี้เธอแบ่งลูกอมจากกระเป๋ากางเกงให้ฉันครึ่งเม็ด ฉันก็ตัดสินใจว่าจะรักเธอตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
บริสุทธิ์และไม่ซับซ้อน
ในขณะนั้นติงเซี่ยนก็มีความขัดแย้งกันเช่นนี้ ในมุมหนึ่งเธอคิดว่าตัวเองไม่ได้ชอบโจวซือเยวี่ย อีกมุมหนึ่งเมื่อเห็นเขาอธิบายโจทย์ให้ผู้หญิงคนอื่นฟัง ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบ
ติงเซี่ยนคิดว่าผู้ชายแบบที่เธอชอบน่าจะเป็นผู้ชายอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษเหมือนสวี่เคอ ไม่ใช่นกยูงที่เอาแต่หยิ่งผยองแบบโจวซือเยวี่ย
แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเจ็บ
สงสัยต้องเป็นอาการแมรี่ ซูกำเริบแน่นอน
ติงเซี่ยนพูดจบก็ไม่ได้มองพวกเขาสองคนอีก เธอก้มหน้าเก็บหนังสือบนโต๊ะแล้วสละที่นั่งให้เพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้น
ห้องเรียนที่เงียบสงบในช่วงพักเที่ยงมีแสงอาทิตย์สาดเข้ามาเป็นทาง ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กของเธอที่กำลังเก็บของ
แสงและเงาราวกับประสานกันเป็นหนึ่ง
“เธอเป็นโรคอะไรขึ้นมาอีก” เสียงโจวซือเยวี่ยไม่เบาไม่ดัง แต่ในห้องเรียนที่เงียบสงบกลับฟังดูกังวานเป็นพิเศษ
มือที่กำลังเก็บของของติงเซี่ยนชะงัก กระเป๋าดินสอรูดซิปไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม เพื่อนนักเรียนรอบข้างต่างพากันหันมาอย่างพร้อมเพรียง สายตาหลายสิบคู่จับจ้องมาที่ตัวเธอ
เธอจึงอธิบายเบาๆ “พักเที่ยงนี้ฉันสละพื้นที่ให้พวกนาย นายจะได้สอนได้สะดวก”
โจวซือเยวี่ยหลังพิงพนักเก้าอี้ มองเธออย่างเสียดสีพลางหัวเราะหึๆ “ดูเธอช่างมีน้ำใจจริงนะ”
ติงเซี่ยนไม่ฟังและไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าเก็บของต่อ และยิ้มกับเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้น “เดี๋ยวเสร็จแล้ว”
เพื่อนนักเรียนหญิงมึนงง “เอ่อ ต้องสลับที่จริงๆ เหรอ”
“สลับสิ”
โจวซือเยวี่ยก้มหน้าทำโจทย์ ไม่เงยหน้าสักนิด ผมหนานุ่มของเขาเป็นประกายท่ามกลางแสงอาทิตย์ เหมือนสุนัขล่าเหยื่อเชื่องๆ ตัวหนึ่ง
“ถ้าสลับที่ก็ไม่ต้องกลับมาอีก” เขากล่าว
เดิมทีติงเซี่ยนตั้งใจว่าจะสลับที่แค่ช่วงพักเที่ยงเท่านั้น เพราะอยากจะหาที่เงียบๆ นอนสักพัก พอได้เห็นเขากวนประสาทเช่นนี้ เธอก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม มือถือหนังสือไว้สองเล่ม จะไปก็ไม่ใช่ จะไม่ไปก็ไม่เชิง
โจวซือเยวี่ยพูดจบประโยคนี้ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย แม้แต่มองจากด้านหลังศีรษะเขาก็ดูเย็นชาเป็นพิเศษ
ติงเซี่ยนกัดฟันอย่างโมโหแล้วทิ้งท้าย “เดี๋ยวฉันจะมาย้ายโต๊ะ!” พูดจบก็สะบัดหางม้าเดินไปยังที่นั่งใหม่อย่างเย่อหยิ่ง
กระดาษโจทย์โดนโจวซือเยวี่ยขีดขาดเสียงดังแควก
จักจั่นนอกหน้าต่างส่งเสียงร้องสองที
ติงเซี่ยนย้ายมานั่งที่ด้านหน้าตรงกลางแถวที่สี่ เพื่อนร่วมโต๊ะใหม่เป็นผู้ชายชื่อว่าเหอซิงเหวิน เป็นคนที่สอบกลางภาคได้ที่หนึ่งในปีนี้ หน้าตาธรรมดา ตัดผมสั้นเกรียน ผิวคล้ำ ชอบใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวยับๆ ที่ซักจนขาวโพลน ท่านั่งเขาเรียบร้อยมากเหมือนนักเรียนประถม เวลาเลิกเรียนก็ไม่ไปไหน ชอบนั่งทำโจทย์อยู่กับโต๊ะ
นี่สิที่เรียกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะ ‘ปกติ’ ไม่ใช่แบบโจวซือเยวี่ยที่เหมือนไม่ใช่คน
สิ่งเดียวที่เหอซิงเหวินไม่ปกติก็คือเขามีผมหงอก เวลามองโดยเฉพาะจากด้านหลังดูเหมือนคนแก่ แต่ก็ยังดีกว่านกยูงที่หยิ่งผยองตัวนั้น
ตอนบ่ายแก่ๆ ข่งซาตี๋เดินมาชวนติงเซี่ยนคุย ครึ่งตัวพิงที่โต๊ะเธอและพูดโน้มน้าว “ไม่กลับไปจริงเหรอ”
ในช่วงเวลาเรียนเสียงพูดคุยของเพื่อนนักเรียนดังอึกทึก แต่เสียงโจวซือเยวี่ยที่พูดคุยล้อเล่นกับคนอื่นกลับสามารถลอยผ่านผู้คนมาเข้าหูเธอจนได้
ติงเซี่ยนก้มศีรษะฟุบลงบนโต๊ะ ขีดๆ เขียนๆ กระดาษทดโดยไม่รู้ตัว สีหน้าแข็งกร้าว “ไม่กลับ”
ข่งซาตี๋ลากเสียง “โธ่…” หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษทดของเธอมาดูและส่งเสียงเบาๆ อย่างประหลาดใจ “งั้นเธอเขียนชื่อเขาทำไม”
ติงเซี่ยนตกใจ รู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาจากที่นั่งแล้วกระโจนเข้าไปหาข่งซาตี๋ คว้ากระดาษทดในมือเพื่อนมาดู
มีชื่ออะไรที่ไหน มีแต่สัญลักษณ์บ้าบอเท่านั้นเอง
ข่งซาตี๋ได้ทีจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เธอไม่บริสุทธิ์ใจ”
ติงเซี่ยนกลับลงไปนั่งอย่างใจลอยแล้วถอนหายใจยาว “เธอนี่น่ารำคาญจัง”
ข่งซาตี๋เบ้ปาก “ฉันแค่อยากจะเตือนเธอ ศาลาใกล้น้ำย่อมได้ชมจันทร์ก่อน* ถ้าทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ เธอจะเป็นคนเสียหายนะ ดูๆ แล้วเติ้งหวั่นหวั่นน่ะชอบโจวซือเยวี่ย ถึงเวลาโดนแย่งไป เธออย่ามาร้องไห้ก็แล้วกัน”
ติงเซี่ยนทำปากยื่นอย่างไม่สนใจ ใช้ปากกาขีดกระดาษอย่างแรงแล้วพูดขึ้น “รีบเอาไปเลย ถ้าเขาสองคนลงเอยกัน ถึงเวลาฉันจะไปจุดประทัดใหญ่ๆ สองพวงให้หน้าโรงเรียน ถือเป็นการขอบคุณเติ้งหวั่นหวั่นที่เสียสละตัวเองช่วยขจัดภัยให้คนอื่น!”
ข่งซาตี๋จงใจพูดต่อ “เหรอ งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบไปซื้อม้านั่ง อีกสองสามวันจะไปที่หน้าประตูโรงเรียนรอดูประทัด”
ติงเซี่ยนหันข้างไปมองเพื่อน