Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 2
“เติ้งหวั่นหวั่น ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอหน่อย”
คนคนนั้นคือข่งซาตี๋
เติ้งหวั่นหวั่นยิ้มมองเธอ “มีอะไรเหรอ ซาตี๋”
ทันใดนั้นข่งซาตี๋ก็หันมองไปทางติงเซี่ยนแวบหนึ่ง ปรากฏว่าทำให้โจวซือเยวี่ยซึ่งกำลังพาดแขนบนพนักเก้าอี้รอฟังอยู่หันมองตามเธอไปโดยไม่รู้ตัว
จังหวะนั้นก็สบกับสายตาเหม่อลอยของติงเซี่ยนกลางอากาศ
ติงเซี่ยนหลบไม่ทันจึงประสานกับสายตาที่เย็นชาของโจวซือเยวี่ยตรงๆ เธอรีบหันหน้าหนีเป็นพัลวัน แต่หันแรงไปจึงชนศีรษะเหอซิงเหวินที่กำลังก้มลงเก็บดินสอพอดี
ติงเซี่ยนเจ็บจนตาลาย รีบเอามือคลึงศีรษะ
โจวซือเยวี่ยยกมุมปาก ซุ่มซ่ามจริงๆ
“ทำไมเธอน่ารำคาญแบบนี้เนี่ย”
เหอซิงเหวินแก้โจทย์ได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยังติดอยู่ตรงขั้นตอนสำคัญ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ ในใจรู้สึกหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ติงเซี่ยนดันเข้าไปซ้ำตรงจุดพอดี เขาจึงอาละวาดใส่เธอทันที
พอเหอซิงเหวินตะโกน คนทั้งห้องก็หันมามองติงเซี่ยน สาวน้อยหน้าแดงก่ำไปหมด ก้มหน้าและเอ่ยขอโทษเบาๆ “ขอโทษนะ” ท่าทางอ่อนแอ เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ
คนในชั้นส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าเหอซิงเหวินเป็นคนอย่างไร ทุกคนจึงมองติงเซี่ยนด้วยความเวทนา
มีผู้ชายคนหนึ่งทนดูต่อไปไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะพูดแทนติงเซี่ยน “เหอซิงเหวิน นายก็อย่าให้มันเกินไป เมื่อกี้นายไม่เก็บหนังสือไว้ให้ติงเซี่ยน ติงเซี่ยนยังไม่ว่านายสักคำ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ติงเซี่ยนก็ก้มศีรษะต่ำลงไปอีก ผู้ชายที่ช่วยเธอพูดชื่อว่าหลิวเสี่ยวเฟิง เขาใส่แว่น ผิวคล้ำๆ ผอมๆ เป็นคนที่แทบจะไม่มีตัวตนในห้อง แม้แต่เวลาที่ครูสอนแล้วเรียกเขาตอบคำถาม เขาก็ยังหน้าแดง
ติงเซี่ยนรู้สึกขอบคุณเขามาก ในเวลาเช่นนี้เขากลับเป็นคนแรกที่ช่วยออกมาพูดแทนเธอ แต่เป็นเพราะคำพูดของเขา เธอจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ
ความจริงแล้วในเวลานี้เธอแค่อยากจะหาหลุมมุดเข้าไป ไม่ว่าใครก็อย่าพูดอะไรเลย ไม่ว่าใครก็อย่ามองเธอเลย อย่าพยายามช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอ ช่วยทำให้เรื่องนี้สงบลงและผ่านไปอย่างรวดเร็วดีกว่า
เธอเป็นผู้หญิงขี้กลัว เวลาถูกคนมองก็จะคิดมาก ทั้งยังเป็นคนที่มีความรู้สึกค่อนข้างอ่อนไหว
และเธอก็ไม่อยากทำให้โจวซือเยวี่ยรู้สึกว่าตอนนี้เธอถูกเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่รังเกียจ
แต่หลังจากหลิวเสี่ยวเฟิงพูดจบ เหอซิงเหวินก็ยังเถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งคู่เกือบจะทะเลาะกันในห้องเรียนเพราะติงเซี่ยน
สุดท้ายซ่งจื่อฉีก็ตะโกนกึ่งล้อเล่นมาจากด้านหลัง “เหอซิงเหวิน นายอย่าแกล้งยายสัตว์ประหลาดสิ ระวังซือเยวี่ยของพวกเราจัดการนายนะ”
ความสัมพันธ์คลุมเครือในช่วงวัยรุ่นคือการล้อเล่นกึ่งจริงไม่จริงระหว่างเพื่อนนักเรียนเท่านั้น
ซ่งจื่อฉีพูดจบ เพื่อนนักเรียนในห้องต่างพากันหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเตะเก้าอี้ น้ำเสียงของคนคนนั้นยังคงเอื่อยเฉื่อยตามปกติ
“เกี่ยวอะไรกับฉัน”
ซ่งจื่อฉีเกาศีรษะด้านหลัง “ฉันล้อเล่นเฉยๆ เอง”
ท่ามกลางบรรยากาศที่โหวกเหวกโวยวายอย่างนี้ จู่ๆ ข่งซาตี๋ก็หันมาพูดกับเติ้งหวั่นหวั่น “เธอสลับที่นั่งคืนกับติงเซี่ยนเถอะ”
เติ้งหวั่นหวั่นอึ้งงันและมองโจวซือเยวี่ย
เสียงของข่งซาตี๋ออกจะแข็ง ไม่อนุญาตให้ใครเถียงได้ เมื่อพูดจบก็มองโจวซือเยวี่ยที่พิงพนักเก้าอี้อยู่และพูดต่อ
“ถ้านายไม่อยากนั่งกับเซี่ยนเซี่ยน ก็ให้เธอแลกที่นั่งกับซ่งจื่อฉี ฉันจะนั่งกับเซี่ยนเซี่ยนเอง”
ข้อเสนอนี้ถูกคัดค้านจากซ่งจื่อฉีทันที “ไม่เอา ฉันไม่นั่งกับเขา นั่งข้างเขาก็โดนบี้ตายพอดี”
ข่งซาตี๋พูดอย่างปลอบโยน “ไม่หรอก”
“นั่งข้างหลัง ฉันฟังไม่ได้ยิน!”
ข่งซาตี๋ลูบศีรษะเขาเบาๆ เหมือนลูบหัวสุนัข พูดพลางแสร้งยิ้ม “ฉันจะซื้อเครื่องช่วยฟังให้นาย”
ซ่งจื่อฉีส่ายหน้า “ฉันไม่เอาหรอก ฉันไม่ใช่คนแก่สักหน่อย”
ข่งซาตี๋กัดฟัน “โอเค งั้นนายกับโจวซือเยวี่ยนั่งข้างหน้า ฉันกับเซี่ยนเซี่ยนนั่งข้างหลัง”
ซ่งจื่อฉีเกาหัว “เกรงใจแย่เลยถ้าอย่างนั้น”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว รีบพยักหน้าก่อนที่ฉันจะโมโห ไม่งั้นฉันจะฟ้องครูว่านายเอาเกมมาโรงเรียนด้วย!”
“หา! ข่งซาตี๋ เธอนี่มัน…ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มั้ยเนี่ย”
“โอเคมั้ยล่ะ ฮะ?!”
“ฉันกลัวเธอแล้ว โอเคๆๆ!”
แต่เมื่อทั้งคู่ตกลงกันเรียบร้อย เติ้งหวั่นหวั่นที่อยู่ด้านหลังก็หน้าตึงแล้วพูดขึ้นมา “ฉันไม่ย้าย”
แต่ละคำช่างหนักแน่นมั่นคง
ข่งซาตี๋ได้ยินก็โมโห ถกแขนเสื้อจะพุ่งเข้าไปจัดการกับอีกฝ่าย แต่ถูกซ่งจื่อฉีดึงไว้
“นี่แม่ทูนหัว เธอใจเย็นๆ ก่อน…ทำไมฉันรู้สึกว่าพักนี้เธอดูเหมือนกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไร้เหตุผลไปแล้วนะ”
ข่งซาตี๋หน้าแดงพักหนึ่งขาวพักหนึ่ง ไม่สนใจเขาและพูดกับเติ้งหวั่นหวั่นตรงๆ “ตอนแรกถ้าไม่ใช่เพราะเธอเอาแต่เดินมาถามคำถามโจวซือเยวี่ย เซี่ยนเซี่ยนจะถูกเธอบี้ให้ไปนั่งข้างหน้าเหรอ”
เติ้งหวั่นหวั่นเบ้ปาก “ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ย้าย”
“พอแล้ว” ในที่สุดคุณชายโจวที่มองอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ นานแล้วก็เอ่ยปากอย่างราบเรียบ “เรียนก่อนเถอะ”
เมื่อกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น คุณครูก็หนีบแผนการสอนไว้ใต้รักแร้เดินเข้าประตูมาตามระเบียบ
ในที่สุดบรรดานักเรียนก็เบนความสนใจกลับมาที่หนังสือเรียนอีกครั้ง
ติงเซี่ยนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เธอขอบคุณข่งซาตี๋ที่ช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้ ไม่ปล่อยให้เธอดูแย่เกินไปต่อหน้าโจวซือเยวี่ย และขอบคุณโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานที่ทำให้เธอรู้จักกับเด็กสาวเลือดร้อนรักเพื่อนคนนี้ในช่วงเวลาที่ตัวเองลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
ในช่วงสุดสัปดาห์
ติงเซี่ยนทบทวนการบ้านทั้งสัปดาห์เสร็จเรียบร้อยก็บิดขี้เกียจ มองไปยังต้นไม้ทรุดโทรมนอกหน้าต่างต้นนั้นและคิดว่าเมื่อไรจะโค่นทิ้งเสียที เพราะมันบังแสง ตอนนี้เธอเห็นกระดานดำเป็นภาพซ้อนแล้ว
ขณะที่กำลังคิดอยู่ เยี่ยหวั่นเสียนก็ตะโกนมาจากห้องรับแขก “เซี่ยนเซี่ยน!”
เธอยืนขึ้นอย่างช้าๆ และเดินออกไป
เยี่ยหวั่นเสียนก้มลงเช็ดโต๊ะพลางพูดกับเธอโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ลูกไปรับน้องที่โรงเรียนสอนพิเศษหน่อย แม่ต้องทำกับข้าว ไปไม่ทัน”
“ค่ะ”
ติงเซี่ยนเดินไปเปลี่ยนรองเท้าที่หน้าประตูช้าๆ พลางบ่นพึมพำในใจ เมื่อกี้นี้ยังมีเวลาไปเม้าท์กับคนอื่นที่หน้าประตูบ้านอยู่เลย
บ้านไหนมีเรื่องอะไรก็ไม่รอดพ้นสายตาของคนซอยนี้
เยี่ยหวั่นเสียนเห็นท่าทางเชื่องช้าของเธอก็โมโห “เร็วเข้า! ถ้าหาน้องไม่เจอก็ไปร้านเกมใกล้ๆ หาดูนะ บางครั้งเขารอไม่ไหวก็จะไปเล่นเกม”
“เขาไปเล่นเกมอีกแล้วเหรอ”
เยี่ยหวั่นเสียนพูด “เล่นแป๊บเดียว ไม่เป็นไรหรอก”
ติงเซี่ยนยิ้มอย่างเย็นชา