บทที่ 3
เธอเดินผ่านเหมือนสายลมที่พัดมาโดยไม่รู้ตัว
การแอบหลงรักคือการที่ฉันเปิดคอนเสิร์ตในใจเพียงคนเดียว แต่เธอกลับไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษในคาราโอเกะของคนอื่น
‘บันทึกของสัตว์ประหลาดตัวน้อย’
ติงเซี่ยนยังไม่ได้สติกลับมา
เมื่อเด็กหนุ่มจากไปแล้ว เติ้งหวั่นหวั่นก็เดินมาข้างหน้า จับมือติงเซี่ยนและพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม
“วันจันทร์พวกเราสลับที่นั่งกลับกันนะ ที่จริงแล้วนั่งข้างหลังสองสามวันมานี้ฉันมองเห็นไม่ค่อยชัดเลย”
เอ๊ะ? ทำไมจู่ๆ ก็…
ติงเซี่ยนอึ้งงัน ปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือไป ส่วนสมองมึนงงไปหมด
เติ้งหวั่นหวั่นยิ้มแล้วลูบศีรษะเธอ สายตาเหลือบไปด้านหลังแวบหนึ่งและพูดขึ้นมา “เหม่ออะไร ฉันรู้หมดแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ ติงเซี่ยนก็รีบโบกมือ “ไม่ ฉันไม่ใช่…”
ไม่ใช่อะไรกันล่ะ
แค่ได้ยินว่าเขาให้เธอย้ายกลับไป ลาตัวน้อยในใจก็แทบจะกระโดดชนกำแพงตายแล้ว
เติ้งหวั่นหวั่นไม่รอให้เธอพูดจบก็ตัดบททันที “เอาล่ะ ทำไมเธอไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”
คำพูดนี้ฟังดูมีลับลมคมใน คลุมเครือเสียจนติงเซี่ยนไม่กล้าสบตาเติ้งหวั่นหวั่นอีกฝ่ายตรงๆ เธอจึงก้มหน้า นั่นยิ่งเป็นการยืนยันความคิดในใจของเติ้งหวั่นหวั่น
เติ้งหวั่นหวั่นหัวเราะ “พวกเราเป็นเพื่อนนักเรียนกัน ถ้าเธอบอกฉันตรงๆ ฉันไม่ปฏิเสธแน่นอน”
บอกตรงๆ? บอกตรงๆ กับเธอยังไง ติงเซี่ยนเบ้ปาก
เติ้งหวั่นหวั่นปล่อยมือเธอและมองไปข้างหน้า “เอาล่ะ โจวซือเยวี่ยบอกฉันหมดแล้ว ไม่ต้องอาย วันจันทร์กลับไปพวกเราสลับที่กัน ฉันไปเล่นก่อนนะ”
ดะ…เดี๋ยวสิ
ติงเซี่ยนยื่นมือมาดึงเติ้งหวั่นหวั่นไว้ จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า “อะ…เอ่อ…โจวซือเยวี่ยบอกเธอว่ายังไง”
เติ้งหวั่นหวั่นตอบอย่างเปิดเผย “เขาบอกว่าเธอเพิ่งเข้าเมืองมา ร่างกายไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศที่นี่ พักนี้ต้องวิ่งไปห้องน้ำระหว่างเรียนบ่อยๆ นั่งข้างหลังเลยสะดวกกว่า”
วิ่งไปตบเขาให้ตายตอนนี้ยังทันมั้ยเนี่ย
เติ้งหวั่นหวั่นพูดจบก็วิ่งไปที่ตู้เกมบาสเกตบอล ติงเซี่ยนมองไปยังร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่หน้าตู้เกมบาสเกตบอล กัดฟันอย่างโมโห
โจวซือเยวี่ยยืนอยู่หน้าตู้เกมบาสเกตบอล ทำท่าโยนลูกบาสลงตาข่ายตามแบบมาตรฐาน ลูกบาสลอยขึ้นไปเป็นเส้นโค้งอย่างชำนาญ จากนั้นก็ตกลงไปในตาข่ายที่อยู่ตรงข้าม มือเขาเร็วมาก ลูกบาสบางลูกยังไม่ตกลงพื้น อีกลูกก็ลงตาข่ายไปแล้ว
ตู้เกมบาสเกตบอลแบบนี้ที่เหยียนผิงก็มีตู้หนึ่ง
เธอมีเพื่อนเล่นสมัยเด็กคนหนึ่งเล่นเกมนี้เก่งมาก เวลาไม่มีอะไรทำก็ชอบนั่งหน้าตู้เกมบาสเกตบอลที่ร้านเกมเพื่อเล่นทำลายสถิติตัวเอง ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็โยนจนทะลุเป้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทำลายสถิติเขาได้อีก
นี่เป็นครั้งที่สองที่ติงเซี่ยนเห็นว่ามีคนที่สามารถเล่นตู้เกมบาสเกตบอลได้คะแนนถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคะแนน
ขณะที่ลูกบาสลูกสุดท้ายของโจวซือเยวี่ยลงตาข่ายก็มีเสียงซ่งจื่อฉีกับเจี่ยงเฉินตะโกนโห่ร้องดังขึ้น ข่งซาตี๋ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตะโกนขอเล่นบ้าง เติ้งหวั่นหวั่นจึงรีบเข้าไปแย่งเหรียญเล่นเกมของโจวซือเยวี่ย
โจวซือเยวี่ยพูดโดยไม่เข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว “แย่งฉันทำไม ไปแลกเองสิ”
ซ่งจื่อฉีผิวปาก
ข่งซาตี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ซ้ำเติม “ใช่ เธอไปแย่งของเขาทำไม จะเล่นก็ไปแลกเองสิ”
เติ้งหวั่นหวั่นส่งเสียงหึ พูดปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองอย่างระมัดระวัง “ไม่เล่นแล้ว”
ข่งซาตี๋เลิกคิ้วให้กับติงเซี่ยนอย่างภาคภูมิใจ สีหน้านั้นราวกับบอกว่า ‘วางใจเถอะ ฉันดูให้อยู่ เธอไปตามหาน้องชายเถอะ’
ส่วนเด็กหนุ่มที่เธอพะวงถึงกลับไม่รู้ตัวใดๆ ทั้งสิ้นกับเรื่องเหล่านี้ เขาหันไปจดจ่อกับการคีบตุ๊กตาแล้ว
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็หัวเราะออกมา เธอนึกได้ว่าเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือ…
ขัดแย้งเหมือนปลาที่หัวกับหางพันกัน แต่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างยาวนาน
หนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งในตัวมากที่สุด
ตอนที่ติงเซี่ยนลากติงจวิ้นชงกลับบ้าน เยี่ยหวั่นเสียนก็ทำกับข้าวเสร็จพอดี แม่ไม่ได้พูดอะไร เร่งให้พวกเธอรีบล้างมือแล้วไปกินข้าว ติงจวิ้นชงทำหน้าล้อเลียนใส่ติงเซี่ยนแล้ววิ่งติดจรวดเข้าไปในห้องน้ำ
บนโต๊ะกินข้าว
ติงเซี่ยนคีบข้าวเข้าปากกินๆ หยุดๆ เยี่ยหวั่นเสียนคีบปลาใส่จานของเธอพลางถาม “พักนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง”
ติงเซี่ยนตักข้าวเข้าปากและตอบ “ก็ดีค่ะ”
เยี่ยหวั่นเสียนพยักหน้า เสียงตะเกียบกระทบชามดังแกร๊ก จากนั้นก็พูดต่อ “ตอนค่ำมีเวลาก็สอนเลขให้น้องหน่อย”
“ค่ะ”
เยี่ยหวั่นเสียนถามเรื่อยเปื่อยต่อไปอีก “ลูกกับซือเยวี่ยเป็นยังไงบ้าง”
จู่ๆ ได้ยินคนในครอบครัวพูดชื่อนี้ขึ้นมา ความรู้สึกแปลกประหลาดซึ่งคงมีแต่ติงเซี่ยนเท่านั้นที่เข้าใจก็ผุดขึ้นมา
ข้าวครึ่งคำติดอยู่ที่ลำคอ เธอไอสองสามทีเพื่อให้คอโล่ง พยายามใช้น้ำเสียงที่นิ่งที่สุดตอบ
“ก็ดีค่ะ”
“ดีกับเขาไว้นะ คะแนนเขาเป็นยังไงบ้าง”
ในใจติงเซี่ยนรู้สึกเจ็บจางๆ คิดอยู่นานก็ไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมมาบรรยายเขาได้ ดังนั้นจึงประเมินเขาด้วยถ้อยคำที่จริงแท้แน่นอนที่สุดและไม่ผิดสังเกตว่า…เขาเป็นเด็กเรียนดี
เยี่ยหวั่นเสียนไม่เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งนัก เธอพยักหน้าพลางพูด “จริงๆ แต่ก่อนก็เคยได้ยินคุณนายโจวพูดว่าลูกชายเขาคนนี้เรียนอะไรก็เรียนได้ดีมาก ความจำเป็นเลิศ แต่สอบเข้า ม.ปลาย คราวนี้ทำไมได้คะแนนแค่นี้”
ดูวิธีการเรียนของเขา สอบได้เท่านี้ก็เทพแล้ว โอเคมั้ย ติงเซี่ยนร้องตะโกนในใจ
“ตอนเด็กๆ เขาฉลาดก็จริง แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง”
ตอนนี้เป็นปีศาจ ติงเซี่ยนคิดเงียบๆ