Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 3
“เด็กบางคนมีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น แต่ถ้าไม่ส่งเสริมดีๆ ก็จะหายไปได้ง่ายๆ ลูกดูคุณนายโจว วันๆ เอาแต่เล่นไพ่ ไม่จัดการอะไรทั้งนั้น คุณลุงโจวก็งานยุ่ง จะมีเวลาเลี้ยงลูกที่ไหน แม่ว่าโตขึ้นชงชงของพวกเราจะต้องได้ดีกว่าเขาแน่นอน”
ติงเซี่ยนเหลือบไปมองน้องชายที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว หัวเราะอย่างเย็นชา “สอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นที่ดีๆ ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องได้ดีดีกว่ามั้งคะ”
พูดแทงใจดำเข้าแล้ว
แม้แต่เยี่ยหวั่นเสียนซึ่งปกติต้องเถียงก็ไม่เถียงอะไร เธอลูบศีรษะติงจวิ้นชงเบาๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยน
“พี่สาวลูกพูดถูก ที่สำคัญที่สุดคือต้องทำคะแนนให้ได้มากกว่านี้”
ติงจวิ้นชงมองพี่สาวด้วยสายตาตำหนิ
ติงเซี่ยนรีบกินข้าวในชามจนหมดแล้วกลับห้องไปเตรียมการเรียนสัปดาห์หน้า
เปิดหนังสือไปได้สองหน้า แต่ยังไม่ได้อ่านสักตัว ใบไม้บนต้นไม้ทรุดโทรมนอกหน้าต่างก็ปลิวเบาๆ ใบไม้สีเหลืองอ่อนตกลงมาตรงหน้าต่างห้องเธอราวกับเป็นสัญญาณของฤดูใบไม้ร่วง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เมฆยามโพล้เพล้ค่อยๆ เคลื่อน หมอกควันพันลี้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
พระจันทร์ไม่กลมดีนักค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ สีของแสงจันทร์เหมือนผ้าโปร่งแสงส่องผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้เป็นเงาลายๆ บนพื้นหินสีคราม คล้ายเรื่องในใจของสาวน้อยที่ส่องสว่างเหมือนดาวและเดือน แต่กลับไม่สามารถอธิบายออกมาได้
ทันใดนั้นเธอก็รอคอยอยากให้วันจันทร์มาถึงเร็วๆ
ในที่สุดวันจันทร์ก็มาถึง ติงเซี่ยนตื่นเช้ามาก ตั้งใจล้างหน้าหวีผมอย่างดี เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดที่เพิ่งซักเสร็จ ในปากกัดหมั่นโถว จากนั้นก็วิ่งออกจากบ้านไป
เยี่ยหวั่นเสียนวิ่งตามเธอมา ถามว่าจะเอาซาลาเปาอีกลูกไหม แต่เธอไม่หันหลัง โบกมือแล้วเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว ไม่เคยรอคอยการไปเรียนมากขนาดนี้
เธอไปถึงแต่เช้า ภายในห้องเรียนมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน เติ้งหวั่นหวั่นยังไม่มา
ติงเซี่ยนนั่งที่ของตัวเอง หยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาและท่องคำศัพท์เงียบๆ
เมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้น บรรดาเพื่อนนักเรียนทยอยกันมาถึง ติงเซี่ยนเอามือปิดหูท่องคำศัพท์ต่อไป
หลิวเสี่ยวเฟิงสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาและเป็นฝ่ายทักเธอก่อน “วันนี้ท่าทางเธอไม่เลวเลยนี่ ดูกระตือรือร้นมากเลยนะ”
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็นึกถึงวันนั้นที่เขาช่วยพูดแทนเธอจนเกือบจะทะเลาะกับเหอซิงเหวิน เธอจึงยิ้มกว้างให้เขาและพูดอย่างอ่อนหวาน
“ขอบใจนายมากนะ หลิวเสี่ยวเฟิง หลังจากวันนั้นยังไม่มีโอกาสขอบใจนายเลย ขอบใจนายมากจริงๆ”
คำขอบคุณที่ได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้หลิวเสี่ยวเฟิงทำตัวไม่ถูก เขาใช้มือเกาศีรษะอย่างเขินอาย “ไม่เป็นไร เหอซิงเหวินทำไม่ถูกจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็ต้องช่วยเหมือนกัน ธะ…เธออย่าใส่ใจเลย”
“ขอบใจนายมากจริงๆ” ติงเซี่ยนพูดอย่างจริงใจ
หลิวเสี่ยวเฟิงเขินจริงๆ โบกมือไปพลางพูดไปพลาง “เธอไม่ต้อง…”
ติงเซี่ยนกำลังจะหัวเราะ แต่กลับเห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังเดินผ่านหน้าไป ผมบนศีรษะเธอถูกขยี้อีกแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงราบเรียบลอยมา
“ย้ายโต๊ะ”
นับวันจะยิ่งเคยมือใหญ่แล้วนะ!
แต่ปฏิกิริยาในวินาทีถัดมาคือยังดีที่เมื่อเช้าสระผม
หลิวเสี่ยวเฟิงกลืนคำว่า ‘เกรงใจ’ สองพยางค์นี้กลับลงไป เขามองแผ่นหลังโจวซือเยวี่ยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาและพูดอย่างประหลาดใจ
“เธอจะกลับไปแล้วเหรอ”
ติงเซี่ยนยืนขึ้น เอาหนังสือเก็บเข้าใต้โต๊ะและบอกลาหลิวเสี่ยวเฟิง
หลิวเสี่ยวเฟิงพูดอย่างลังเล “ก็ดี แต่คราวหน้าอย่าย้ายที่นั่งตามอำเภอใจอีกนะ ยังโชคดีที่ช่วงนี้ครูยังไม่ตรวจ”
ติงเซี่ยนตบบ่าเขาและพยักหน้าอย่างจริงจังพลางกล่าวลาเหมือนจอมยุทธ์ “ลาก่อน พ่อหนุ่ม มีเวลาว่างก็มาเยี่ยมกันนะ”
หลิวเสี่ยวเฟิงโดนเธอล้อเล่นจนขำแล้วยืนขึ้น “ฉันช่วยเธอนะ โต๊ะตัวนี้หนักเอาการอยู่”
ข่งซาตี๋ก็ยืนขึ้นเหมือนกัน พุ่งตัวเข้าไปช่วยเหลือ
ซ่งจื่อฉีชำเลืองมอง เอนหลังพิงพนักด้านหลัง เอามือพาดที่โต๊ะของโจวซือเยวี่ยและพูดขึ้น “ฉันรู้สึกว่าเจ้าหลิวเสี่ยวเฟิงนี่ไม่บริสุทธิ์ใจแน่ๆ”
โจวซือเยวี่ยกำลังทำโจทย์ที่เมื่อวันศุกร์ลืมเอากลับบ้าน ตวัดปากกาฉับๆๆ พริบตาเดียวก็ทำเสร็จหลายข้อ เขาเจียดเวลาเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าเขียนพลางพูดโดยไม่ใส่ใจ
“ทั้งชั้นเรียนนี้ก็มีแต่นายเท่านั้นแหละที่ความคิดไม่บริสุทธิ์”
ซ่งจื่อฉีจ้องเขา “งั้นนายบอกซิว่าทำไมต้องให้ยายสัตว์ประหลาดนั่นย้ายที่นั่ง แถมยังรับปากให้เติ้งหวั่นหวั่นมาเล่นกับพวกเราอีก”
“นายเป็นคนรับปากไม่ใช่เหรอ”
“ชิ คิดว่าฉันโง่เหรอ ถ้าฉันรับปาก ทำไมนายต้องทำตามด้วยล่ะ”
คุณชายโจวกลอกตาอย่างเอือมระอา “โอเค ฉันรำคาญเติ้งหวั่นหวั่น วันๆ ถามแต่คำถามไม่หยุดหย่อน”
“คำถามที่สอง ทำไมนายไม่ตอบตกลงข้อเสนอของข่งซาตี๋ที่ให้ฉันกับนายนั่งด้วยกัน”
ทันใดนั้นคุณชายโจวก็วางกระดาษโจทย์ลง สายตาแผ่รัศมีอันดุร้าย เอนตัวไปด้านหลัง แขนกอดอก พิงพนักเก้าอี้อาบแดดยามเช้าอย่างเกียจคร้านพลางยิ้มสดใส
“ได้สิ งั้นนายสลับที่กับเธอ ฉันนั่งกับนายเอง”
“ไม่เอา นั่งข้างนายต้องมีความกล้าหาญมาก”
“งั้นตามเดิมก็โอเคแล้วนี่”
โจวซือเยวี่ยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ก้มหน้าทำโจทย์ต่อ
ติงเซี่ยนย้ายโต๊ะเสร็จ เธอก็ขอบคุณหลิวเสี่ยวเฟิงอีกครั้ง หลิวเสี่ยวเฟิงรีบโบกมือ หน้าแดงเดินจากไป
ข่งซาตี๋หยิบตุ๊กตาตัวเล็กออกมาจากกระเป๋านักเรียนแล้ววางบนโต๊ะติงเซี่ยน “เซี่ยนเซี่ยน อันนี้ฉันให้เธอ”
ติงเซี่ยนจัดหนังสือไปพลางหันไปมองด้วยความงุนงง “อะไรเหรอ”
ข่งซาตี๋มองโจวซือเยวี่ยอย่างลังเลและรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ตุ๊กตาที่เพื่อนร่วมโต๊ะเธอคีบได้ เขาให้ฉันเอาให้เธอ”
พอพูดจบก็รีบหันกลับไป
ติงเซี่ยนอึ้งไปทันที หันไปมองโจวซือเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ราวกับมองผี
คุณชายโจวมัวแต่ทำโจทย์ ไม่เงยหน้า เพียงแต่ยกมุมปากและพูดขึ้นมา “อย่าเกรงใจเลย ฉันก็คีบไปงั้นๆ”
สายตาของติงเซี่ยนมองไปที่ตุ๊กตาตัวนั้น “ให้ฉันทำไม”
คุณชายโจวไม่เงยหน้าเช่นเดิม ตามองโจทย์ มือไม่ยอมหยุดเขียน หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างจริงใจ
“อย่าคิดมากไปเลย ข่งซาตี๋ก็มีตัวนึง ซ่งอี๋จิ่นก็มีตัวนึงเหมือนกัน ฉันเลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เธอตัวนึง”
นายคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้เหรอ คนตำหนักสี่ตำหนักห้าต้องพากันรอนายพลิกป้ายก่อนเรียกตัวปรนนิบัติหรือยังไง
“นายแจกเยอะขนาดนั้น ไม่กลัวพวกเธอตีกันหรือไง”
คุณชายโจวหยุดเขียน เงยหน้ามองเธอ จากนั้นก็พ่นเสียงหัวเราะออกมา
ซ่งจื่อฉีที่อยู่ด้านหน้าอดไม่ได้ที่จะหันหลังมาพูด “ยายสัตว์ประหลาด เธอคิดอะไรอยู่น่ะ ของข่งซาตี๋น่ะ ฉันเป็นคนให้ ของอี๋จิ่น เจี่ยงเฉินให้ เติ้งหวั่นหวั่นอยากได้ แต่โจวซือเยวี่ยไม่ได้ให้”
ติงเซี่ยนหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที