Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 3
ผ่านไปสักพักเธอก็พูดเบาๆ “ทำไมนายไม่ให้เติ้งหวั่นหวั่น จริงๆ ฉันไม่เป็นไร…”
โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองเธอ “ไม่เอาหรือไง”
ฉันอยากได้
โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้ว ยื่นมือออกมาทำท่าจะเอาคืน “งั้นคืนฉันมา”
“เอาๆๆ!” ติงเซี่ยนรีบโถมตัวไปตะครุบตุ๊กตาไว้ แต่ปรากฏว่าดันไปจับมือเขาไว้ด้วย แถมยังกอดเอาไว้ที่ตรงหน้าอกอ่อนนุ่มของเธอพอดี แขนของผู้ชายที่เตะบอลเป็นประจำบึกบึนแข็งแรง เหมือนเธอกำลังกอดท่อนไม้ที่ร้อนระอุ
ทั้งแข็งทั้งร้อน ถึงขนาดสัมผัสเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบนแขนเขาได้
แขนเขาที่เธอเคยสังเกตในยามปกติจะเรียวยาวและสะอาดสะอ้าน แต่ผู้ชายก็คือผู้ชาย
ภาพทุกอย่างชะงักงัน ลมพัดจนหน้าต่างขยับไปมาเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด นอกหน้าต่างแทบจะไม่ได้ยินเสียงจักจั่นแล้ว ทั้งสองอึ้งและมองหน้ากันท่ามกลางห้องเรียนที่เสียงอึกทึก
ลมนอกหน้าต่างพัดโชย พากลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ลอยเข้ามา
ในเวลานั้นภายในห้องเรียนมีเสียงท่องหนังสือดังขึ้นมาแล้ว บรรดาเพื่อนนักเรียนเริ่มทบทวนด้วยตัวเองในช่วงเช้า ไม่มีใครสังเกตพวกเขา เธอกอดแขนเด็กหนุ่มเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูกอยู่หนึ่งนาที ขณะที่ซ่งจื่อฉีหันมาพูดโดยไม่ทันเอะใจแม้แต่น้อย
“ซือเยวี่ย หน้าประตูโรงเรียนมีร้านอาหารเปิดใหม่ร้านนึง วันนี้เที่ยงพวกเรา…” จากนั้นเขาก็เห็นภาพเบื้องหน้าที่น่าตกใจนี้ ซ่งจื่อฉีอ้าปากค้าง หลังจากสายตาสำรวจไปมาบนตัวพวกเขาทั้งคู่ก็พึมพำ “ฉันว่าฉันไปกินเองดีกว่าเนอะ” ว่าแล้วก็ปิดปากหันกลับไป
ในขณะเดียวกันติงเซี่ยนก็แทบจะสะบัดมือของโจวซือเยวี่ยทิ้ง เหมือนโยนมันร้อนไม่มีผิดเพี้ยน จนมือของเด็กหนุ่มสะบัดไปโดนโต๊ะเสียงดังปึก
โจวซือเยวี่ยเจ็บจนส่งเสียงร้อง ขมวดคิ้วแน่น สูดหายใจพลางกัดฟัน “เธอ!”
ติงเซี่ยนหันกลับไปนั่งตัวตรง ก้มหน้าเล็กน้อย และเอาตุ๊กตากลับไปวางบนโต๊ะเขาพร้อมทำหน้าจริงจังอธิบายกับเขาเสียงต่ำ
“ขอโทษนะ เมื่อกี้ตกใจไปหน่อย เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนให้ของขวัญฉัน ก็เลย…ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี ของนี่ นายลองไปคิดดูก่อนดีกว่านะ”
หญิงสาวย่อมมีจิตใจละเอียดอ่อน ประโยคเดียวก็อาจทำให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงหรือดำเนินการต่อไปได้
ในแง่หนึ่ง ติงเซี่ยนรู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองทำตัวตื่นเต้นเกินไป กลัวว่าโจวซือเยวี่ยจะเข้าใจผิด อีกแง่หนึ่ง เมื่อครู่โจวซือเยวี่ยดูมีท่าที ‘รู้สึกว่าตัดสินใจผิด’ เขาอาจอยากเอาไปให้เติ้งหวั่นหวั่นก็ได้
โจวซือเยวี่ยไม่เข้าใจความคิดของเด็กผู้หญิงพวกนี้เลยสักนิด และยิ่งไม่เข้าใจว่าแค่ตุ๊กตาเน่าๆ ตัวเดียวมีอะไรให้คิดมากมาย ให้ก็คือให้
ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้ว ถูมือตัวเองพร้อมกับยกขาเตะเก้าอี้ของซ่งจื่อฉี พอซ่งจื่อฉีหันมาก็ถูกยัดตุ๊กตาใส่หน้า พร้อมๆ กับเสียงรำคาญของคุณชายโจวดังตามมา
“ให้นายแล้วกัน”
ซ่งจื่อฉีรีบรับตุ๊กตามา มองโจวซือเยวี่ย แล้วหันมามองติงเซี่ยนด้วยสีหน้างุนงง
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มก้มหน้าอ่านหนังสือ ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ต้นไม้นอกห้องเรียนออกดอกหอมหมื่นลี้เต็มต้น ลมฤดูใบไม้ร่วงกับกลิ่นหอมพัดเข้ามา ลมเย็นๆ ให้ความรู้สึกเย็นชา ดอกหอมหมื่นลี้ที่งดงามน่าประทับใจ เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกหญิงสาวบ้างเลย
เหลือเวลาเพียงครึ่งเดือนกว่าก็จะถึงวันสอบวัดความรู้แล้ว
ติงเซี่ยนฟุบที่โต๊ะและถอนหายใจ คิ้วขมวดจนเป็นรูปเลขแปด* ด้วยความหมดหวัง คางเกยกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่เพิ่งทำเสร็จ ตาละห้อยมองคะแนนเก้าสิบเก้าคะแนนตัวสีแดง คิดหาหนทางไม่ออก
คะแนนเต็มของโจทย์ปี 2546 คือหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน ดังนั้นคะแนนเก้าสิบเก้าคะแนนนับว่าอยู่ในเกณฑ์ผ่าน
ติงเซี่ยนเรียนเก่งแค่บางวิชา วิชาคณิตศาสตร์ค่อนข้างอ่อน ตอนสอบเข้ามัธยมปลาย วิชาคณิตศาสตร์ทำคะแนนได้ปกติ จึงไม่ได้ฉุดคะแนนทั้งหมด แต่ก็ทำเอาทั้งช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนสมองแทบจะเละเป็นโจ๊ก ได้ยินว่าข้อสอบวัดความรู้ของห้องเรียนดีโหดร้ายมาก ขนาดสวี่เคอยังสอบได้แค่ร้อยคะแนนต้นๆ เท่านั้น
ติงเซี่ยนเอียงศีรษะชำเลืองมองข้างๆ ที่นั่งนั้นว่างเปล่า โจวซือเยวี่ยถูกครูเรียกไปห้องพักครู บนโต๊ะโล่งๆ มีปากกาวางทับกระดาษโจทย์คณิตศาสตร์แผ่นหนึ่งที่ทำเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ติงเซี่ยนอึ้ง ดะ…เดี๋ยวนะ “ตัวอย่างข้อสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกมัธยมศึกษาปีที่สี่ชุดที่หนึ่ง?”
ดวงตาทั้งสองไล่มองลงมาทีละข้อ
ตั้งแต่ข้อที่สามเป็นต้นไป ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่มีอยู่อย่างจำกัดในตอนนี้ของเธออ่านดูก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้หลายข้อล้วนเป็นเนื้อหาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน เจี่ยงเฉินไม่ได้หลอกเธอ เขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่จบแล้วจริงๆ
“ดูอะไรอยู่น่ะ” ข่งซาตี๋ไม่รู้มาจากไหน โถมตัวใส่ติงเซี่ยน กอดเธอพลางยิ้มอย่างร่าเริง เอาหัวติงเซี่ยนแนบหน้าอกอ่อนนุ่มของตัวเอง
ข่งซาตี๋ร่างกายสมบูรณ์มาก เพิ่งจะขึ้นมัธยมปีที่สี่ก็มีหน้าอกที่น่าภูมิใจ เวลาวิ่งตอนเรียนวิชาพลศึกษา หน้าอกก็จะแกว่งไปมาตามจังหวะฝีก้าว ดังนั้นจึงทำให้ติงเซี่ยนที่วิ่งข้างๆ เธอกลายเป็นเหมือนแผ่นไม้เคลื่อนที่ได้
ติงเซี่ยนดึงศีรษะตัวเองออกจากอ้อมแขนของเพื่อนสาว ขยับโต๊ะอีกครั้งพลางถอนหายใจ
“เธอว่าทำไมเราต้องเรียนวิชาเลข ทำเหมือนว่าอีกหน่อยซื้อกับข้าวก็ต้องใช้สมการเชิงฟังก์ชันยังไงยังงั้น”
ข่งซาตี๋กลับไปนั่งที่นั่งตัวเอง เอาคางเกยโต๊ะติงเซี่ยน ชำเลืองมองที่นั่งโจวซือเยวี่ยแล้วพูด
“ไม่รู้ แต่ฉันได้ยินซ่งจื่อฉีพูดนะ คนข้างๆ เธอน่ะกำลังเตรียมตัวแข่ง”
ติงเซี่ยนอึ้ง “แข่งอะไร”
“ก็แข่งเลขน่ะสิ เขาสอบเข้า ม.ปลาย ได้คะแนนวิชาเลขเต็ม ต้องถูกเล็งแน่นอน! เธอรู้จักสวี่เคอชั้น ม.หก มั้ย เขาก็ได้คะแนนวิชาเลขเต็มเหมือนกัน พอเข้ามาก็โดนครูหว่านล้อมให้ไปแข่ง แต่สวี่เคอแย่หน่อย เข้าร่วมการแข่งขันติดกันสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้อันดับดีๆ”
ขณะที่พูดอยู่ โจวซือเยวี่ยก็กลับมา ดึงเก้าอี้ข้างติงเซี่ยนออกมานั่ง
ข่งซาตี๋หันกลับไปอย่างรู้งาน
ซ่งจื่อฉีเห็นเขากลับมาแล้วก็เอาแขนไปสะกิด “ว่าไง”
โจวซือเยวี่ยหยิบปากกา ก้มหน้าดูโจทย์บนโต๊ะ ตวัดดินสอในมือเขียนคำตอบและพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“จะว่าอะไรได้”
ซ่งจื่อฉีมองโจทย์ของเขาแวบหนึ่ง “งั้นสรุปนายไปมั้ย”
โจวซือเยวี่ยยังคงก้มหน้ามองโจทย์ ทำโจทย์ข้อต่อไปสองสามข้ออย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็เลิกคิ้ว
“ไม่รู้”
ซ่งจื่อฉีบ่นออกมา “โธ่ นายลังเลอะไร โอกาสดีขนาดนี้ คนอื่นอยากไปยังไม่ได้ไป ดีไม่ดีอาจติดทีมชาติก็ได้นะ ได้เข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาโดยไม่ต้องสอบเลย แล้วค่อยแข่งให้ได้สักรางวัล ได้หน้าจะตาย” พอพูดจบก็มองติงเซี่ยน ใช้คางพยักพเยิดมาทางเธอเบาๆ “เธอว่ามั้ย ยายสัตว์ประหลาด”
ถูกเรียกชื่อกะทันหันแบบนี้ ทำให้ติงเซี่ยนที่ก้มหน้าอยู่ลนลานขึ้นมาทันที เธอส่งเสียง “หา” เงยหน้าขึ้นและพยักหน้าเหมือนคนเพิ่งรู้เรื่อง “อือ ใช่ ดีมากเลย”
โจวซือเยวี่ยมองโจทย์และหัวเราะหึๆ ไม่พูดไม่จา
หัวเราะบ้าอะไร ติงเซี่ยนตอบเขาเงียบๆ ในใจ
เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วก็น่าโมโหจริงๆ ขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเลือกชิงหวาหรือเป่ยต้า* ส่วนเธอได้แต่มองข้อสอบเก้าสิบเก้าคะแนนที่ไม่รู้ว่าผิดตรงไหนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
นายนี่มันโรคจิต เธอเสริมไปอีกประโยคเงียบๆ ในใจ
ทันใดนั้นโจทย์บนข้อสอบก็กลายเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้านแต่แฝงท่าทีเย้ยหยันของโจวซือเยวี่ย ติงเซี่ยนกัดฟัน ทำไมถึงน่ารำคาญขนาดนี้นะ! เธอใช้ปากกาทิ่มลงไปอย่างแรงจนข้อสอบขาดดังแควก
โจวซือเยวี่ยได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น กวาดสายตามาทางเธออย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็พอจะเข้าใจ เขาเลิกคิ้วยิ้มเล็กน้อย
“อ่อนวิชานี้ใช่มั้ยล่ะ เธอเลือกอ่อนวิชาได้แย่หน่อยนะ อีกหน่อยไม่ว่าสายวิทย์หรือสายศิลป์ก็หนีเลขไม่พ้น”
ติงเซี่ยนตอบกลับอย่างโมโห “อย่างน้อยวิชาเลขสายศิลป์ก็ง่าย”
โจวซือเยวี่ยส่ายหน้ายิ้ม “ข้อสอบนี้ก็ง่าย แต่เธอยังทำได้แค่นี้เลย ดูท่าทางสาหัสอยู่นะ”
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็ราวกับกลายร่างเป็นต้นหญ้าน้อยที่เหี่ยวเฉา แม้แต่เรี่ยวแรงจะโต้กลับก็ไม่มี สิ่งที่โจวซือเยวี่ยพูดมาคือความจริง เธอตกอยู่สถานการณ์ที่แสนสาหัสจริงๆ
ติงเซี่ยนค่อยๆ ติดรอยขาดบนกระดาษข้อสอบอย่างระมัดระวัง หยิบสก็อตเทปออกมาจากกล่องดินสอ ใช้ปากกัด ติดไปพลางโมโหตัวเองไปพลาง จากนั้นก็พูดขึ้น
“ฉันก็เป็นแค่ปลาเค็ม* ตัวหนึ่ง ไม่มีความฝันยิ่งใหญ่อะไร ยิ่งไม่เคยคิดจะเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาหรือเป่ยต้า เป้าหมายของฉันคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาต่างมณฑลก็พอแล้ว”
โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่แข็งขนาดนี้จะอ่อนขึ้นมาโดยพลัน เขาทนดูต่อไปไม่ไหว อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมา
“เข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาต่างมณฑล?”
ติงเซี่ยนติดกระดาษข้อสอบพร้อมกับพยักหน้า “ฉันอยากไปหางโจว” ห่างจากที่นี่ยิ่งไกลยิ่งดี
ขณะที่ติงเซี่ยนพูด สายตาเป็นประกาย ดูเหมือนว่าเธอจะชอบหางโจวจริงๆ