Our Secret รักในความลับ
ทดลองอ่าน Our Secret รักในความลับ บทที่ 3
“นายเคยเห็นทะเลสาบซีหู** มั้ย เคยเห็นเจดีย์เหลยเฟิง*** มั้ย รู้จักสะพานต้วนเฉียว**** มั้ย”
โจวซือเยวี่ยจ้องเธอพลางยิ้มเยาะ กอดอกและพูดโดยไม่เข้าใจจิตใจเธอ “ดูเรื่องนางพญางูขาวมากไปหรือเปล่าเนี่ย!”
การสนทนาสิ้นสุดลง คุณชายน้อยไม่สนใจเธออีก
ติงเซี่ยนครุ่นคิดกับข้อสอบอยู่คนเดียว ข้อหลักๆ แทบจะผิดหมด เธอขีดฆ่าสิ่งที่คำนวณในกระดาษทดทิ้งและลองคำนวณใหม่ จู่ๆ ข้างหูก็มีเสียงดังขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ความจริงแล้ววิวของเทียนอันเหมิน***** ที่ปักกิ่งก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”
มือที่เขียนโจทย์ของติงเซี่ยนชะงัก เธอเงยหน้าเล็กน้อยและหันไปมองคนข้างๆ “ฮะ?”
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเหล่านี้โดยปกติแล้วคนแน่นมาก เธอเพิ่งย้ายมาไม่ถึงสองเดือน แถมงานที่บ้านก็เยอะ เยี่ยหวั่นเสียนจึงไม่ออกไปไหนง่ายๆ
ติงเซี่ยนพึมพำเบาๆ “เรียนหนังสือยังไม่รู้เรื่องเลย ยังจะไปดูวิวอะไรอีก”
“ข้างๆ มีคนเป็นๆ นั่งอยู่ทั้งคน ไม่รู้จักถาม?”
ติงเซี่ยนโต้กลับ “ชิ นายไม่เคยฟังครูสอน ถ้าฉันถามนาย นายจะรู้เหรอว่าฉันพูดอะไร”
โจวซือเยวี่ยคว้าสมุดบนโต๊ะไปเคาะหัวเธอเบาๆ ตามใจชอบ ท่าทางดูเป็นธรรมชาติมาก “ถึงไม่เรียนก็ยังเก่งกว่าเธอ”
ติงเซี่ยนใช้สายตาจ้องมองเขา ในใจกลับไม่ปฏิเสธ แถมยังรู้สึกว่าหวานหน่อยๆ
ประตูหลังห้องมีผู้ชายห้องอื่นที่รู้จักกับโจวซือเยวี่ยเดินผ่านมา เมื่อเห็นเขากำลังทะเลาะกับผู้หญิงก็ผิวปากและล้อพวกเขาสองสามคำตรงระเบียง
ติงเซี่ยนมองไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นใช้สายตามีเลศนัยมองสำรวจพวกเขาไปมา เธอจึงรีบหันกลับมา ก้มหน้าแกล้งทำเป็นเปิดหนังสือ
โจวซือเยวี่ยพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเธอ
เพื่อนร่วมโต๊ะชายหญิงมัธยมปลายมักจะถูกคนอื่นล้อได้ง่าย โจวซือเยวี่ยเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ติงเซี่ยนนึกขึ้นได้ทันทีว่าแต่ก่อนตอนที่เขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับคนอื่นก็ถูกล้อแบบนี้ใช่มั้ยนะ
หรือว่าเฉพาะแค่เธอ
ขณะกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงโจวซือเยวี่ยลอยมาเข้าหู “เอาข้อสอบมานี่”
ฮะ? ข้อสอบอะไร
ติงเซี่ยนทำหน้าเด๋อด๋า มองมือยาวๆ ที่หยิบกระดาษข้อสอบซึ่งเพิ่งติดเสร็จไปจากตรงหน้าเธอ และวางลงที่กึ่งกลางระหว่างสองโต๊ะ พลิกเปิดไปที่หน้าหลังแล้วชี้ตำแหน่งที่ผิด ก่อนจะใช้ปากกาวงบนข้อสอบช่วยเธอวงข้อที่ผิด หลังจากนั้นก็เขียนขั้นตอนการคำนวณตรงพื้นที่ว่างข้างๆ
“เพราะตัวคูณร่วมน้อยของสอง สาม และห้าคือสามสิบ ถ้าทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากมีเส้นทแยงมุมของลูกบาศก์เท่ากับสามสิบ มีเส้นขอบซึ่งประกอบด้วยสอง สาม และห้าเป็นจำนวนเต็มบวก ดังนั้นทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีเส้นทแยงมุมของลูกบาศก์เท่ากับเก้าสิบ เส้นขอบซึ่งประกอบด้วยสอง สาม และห้าก็น่าจะนำไปคูณด้วยสามถึงจะได้ผลลัพธ์ออกมา เธอลองดูตัวเลือกในข้อสอบ และหาค่าที่คูณด้วยสาม…
และยังมีโจทย์ข้อนี้อีก เชื่อม AD และ BC และ CD ลบเส้นเสริมอื่นๆ บนแกน x และแกน y รูปสี่เหลี่ยม ABCD ก็จะเป็นแผนภาพไดอะแกรม คำนวณหาค่าโดยตรงได้เลย…”
หลายปีหลังจากนั้นติงเซี่ยนยังนึกถึงภาพในวันนี้ได้ดี
วัยรุ่นใจร้อน คว้าข้อสอบจากมือเธอไป ช่วยอธิบายโจทย์เลขซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดให้เธอฟัง ใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงสีเหลืองอ่อนนอกหน้าต่างปลิวร่วงลงมา อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้น ต้นกล้าภายในใจกำลังเข้าสู่อีกฤดูพร้อมกับอากาศภายนอกหน้าต่าง
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าตัวเองไม่พอใจอะไร เธอก็แค่อิจฉาเติ้งหวั่นหวั่นที่ชอบเขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย จึงได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะกล้าหาญขึ้นมาบ้าง
ไม่รู้ว่าติงเซี่ยนรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าโจวซือเยวี่ยตั้งใจลดความเร็วในการอธิบายโจทย์ให้เธอฟังช้าลงเป็นพิเศษ
สุดท้ายแล้วเพื่อนร่วมโต๊ะก็มีสิทธิพิเศษมากกว่า เธอคิดเช่นนี้แล้วก็ยิ้ม
จากนั้นก็โดนปากกาเคาะศีรษะหนึ่งที “ยิ้มบ้าอะไร รีบจดสิ”
“อ้อ” ติงเซี่ยนรีบเก็บรอยยิ้มและหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอย่างซื่อๆ แต่เธอผู้ซึ่งไม่ได้ฟังอะไรเลยก็ไม่รู้ว่าควรจะจดอะไรดี ปลายปากกาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ แอบชำเลืองมองคนข้างๆ โจวซือเยวี่ยจึงเขกศีรษะเธอเป็นรางวัลอีกที
“เมื่อกี้ไม่ได้ฟังใช่มั้ย”
น้ำหนักมือนั้นแรงไม่ใช่น้อย เธอคลึงศีรษะและพยักหน้า “ฟังๆ”
โจวซือเยวี่ยยิ้มอย่างเย็นชา “อ้อ งั้นฉันพูดว่าอะไร”
ติงเซี่ยนพยายามเค้นสมอง แต่นึกได้เพียงประโยคท้ายสุด “นายบอกว่า…สี่เหลี่ยม ABCD ก็จะเป็นแผนภาพไดอะแกรม คำนวณหาค่าโดยตรงได้เลย…”
โจวซือเยวี่ยหัวเราะอย่างเสียดสี สีหน้ากลับมาเย็นชาอีกครั้ง “เธอเป็นปลาเค็มจริงๆ นั่นแหละ ความจำสามวินาที” พูดไปพร้อมกับเอนตัวไปข้างหลังพิงพนักเก้าอี้ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า หัวเราะเย้ยหยันเบาๆ “เธอสอบเข้ามาได้ยังไงกัน”
เมื่อเคยชินกับความเย็นชาของเขา เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ารับไม่ได้ ตอนนี้ติงเซี่ยนปรับตัวได้แล้ว ว่าแล้วเธอก็เล่าให้เขาฟังถึงประวัติการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานตั้งแต่ตอนแรกอย่างเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“นายรู้จักสวี่เคอมั้ย”
สวี่เคอ? โจวซือเยวี่ยส่ายศีรษะ
เวลาติงเซี่ยนพูดถึงสวี่เคอ สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ดวงตาดำขลับเป็นประกาย
“เพราะเขา ฉันถึงตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซาน ความจริงแล้วตอนฉันอยู่ประถม คะแนนไม่ค่อยดี ก็เหมือนกับที่นายพูดนั่นแหละ ความจำแย่มากเป็นพิเศษ เด็กคนอื่นท่องตัวอักษรยี่สิบหกตัวได้ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนฉันท่องอยู่เป็นเดือน แม่ชอบเอาฉันไปเปรียบกับสวี่เคอ พอเปรียบเทียบบ่อยๆ เข้าก็รู้สึกขัดแย้งในใจมาก เกลียดตัวเอง ทำไมคนอื่นเรียนได้ แต่ฉันเรียนไม่ได้ ต่อมาพอเจอสวี่เคอ เขาบอกฉันว่าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่คนอื่นทำได้แล้วเธอจะทำไม่ได้ การที่เธอทำไม่ได้เพราะเธอพยายามไม่มากพอ”
โจวซือเยวี่ยกอดอก ส่งเสียงฮึเบาๆ ออกมาทางจมูกอย่างไม่สนใจ
ติงเซี่ยนรู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่สนใจคำพูดสวยหรูที่ใช้ชี้แนะการดำเนินชีวิตแบบนี้ “นายอย่าเพิ่งทำท่าไม่เชื่อ สิ่งที่สวี่เคอพูดมีเหตุผลจริงๆ เพราะคำพูดของเขา ฉันเลยตัดสินใจพยายามเป็นสองเท่าของคนปกติ คนอื่นใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ฉันก็จะใช้เวลาสองชั่วโมง”
ติงเซี่ยนคนนี้นับว่ามีความอดทนเต็มร้อยจริงๆ เธอตัดสินใจทำอะไรแล้ว แม้ว่าจะชนกำแพง เธอก็ไม่หันหลังกลับ
แต่ปรากฏว่าโจวซือเยวี่ยพูดให้เธอหมดกำลังใจอย่างไม่ทันตั้งตัว “เพราะงั้นก็เลยอ่านหนังสือถึงตีสอง? เลขก็สอบได้คะแนนแค่นี้?”
น้ำเสียงเปิดเผยตรงไปตรงมาจนทำให้เธออยากจะหาหลุมมุดหนี เธอจึงพูดเบาๆ “ก็ไม่ได้ถึงตีสองทุกวัน บางครั้งง่วงเร็วก็นอนเร็ว ถ้ามีแรงก็นอนดึกหน่อย” เหมือนเห็นเขายิ้มเล็กน้อย ติงเซี่ยนก็พึมพำไม่หยุด เสริมไปอีก “นายคิดว่าทุกคนเขาเหมือนกับนายเหรอ อ่านรอบเดียวก็รู้เรื่อง”
โจวซือเยวี่ยมองติงเซี่ยนอย่างขบขัน ขณะที่มือทั้งสองยังล้วงกระเป๋าอยู่ “เธอเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับไอคิวมนุษย์หรือเปล่า หรือเธอคิดว่าไอคิวฉันสูงกว่าปกติ จะมีก็แค่บางคนที่ไอคิวสูงกว่ามาตรฐานคนทั่วไป ที่เหลือส่วนใหญ่ไอคิวจะอยู่ในระดับมาตรฐานทั้งนั้น ไม่แตกต่างกันมาก เธอเรียนได้ไม่ดีแบบนี้ ฉันบอกได้แค่ว่าเพราะเธอยังไม่พบวิธีเรียนที่ถูกต้อง”
ดูสิ คนอัจฉริยะคนนี้พูดซะจริงจัง ถ่อมตัวเหลือเกิน
โจวซือเยวี่ยพูดจบก็โน้มตัวยื่นมือไปหยิบสมุดจดบนโต๊ะเธอที่จดไว้เต็มหน้ากระดาษ จากนั้นก็โยนลงบนโต๊ะเธออีกครั้งแล้วเก็บมือกลับไป
“บอกเธอหลายครั้งแล้ว จดบันทึกต้องเลือกจดเฉพาะที่สำคัญ จดแบบนี้สอบได้ก็แปลกแล้ว”
ติงเซี่ยนจ้องอีกฝ่ายอยู่นานราวกับกำลังทบทวนคำพูดของเขา
โจวซือเยวี่ยถูกสายตาว่างเปล่าของเธอจ้องจนขนลุก “ทำไม”
ติงเซี่ยนคิดดูแล้วก็เม้มปาก จากนั้นก็ทำท่าคำนับเขา “จากนี้ไปต้องรบกวนให้นายช่วยแนะนำหน่อยนะ”
โจวซือเยวี่ยยิ้มส่งๆ อดไม่ได้ที่จะพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ “แต่ไอคิวเธอต่ำกว่ามาตรฐานคนทั่วไปจริงๆ พระเจ้าใจร้ายกับเธอมากอยู่นะ ปิดประตูไม่พอ ยังไม่เหลือไว้แม้แต่หน้าต่าง”
ติงเซี่ยนมองเขาอย่างงงๆ “นายหมายความว่ายังไง”
โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้ว กลับไปทำโจทย์ต่อ หันท้ายทอยให้เธอ ปล่อยให้เธอเข้าใจความหมายเอาเอง
พระอาทิตย์ใกล้ตก ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย
ผมหนาดกดำบนศีรษะส่องประกายท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามา ใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มหล่อเหลาน่ามอง
ไม่รู้ว่าในจังหวะนั้นติงเซี่ยนไปเอาความกล้ามาจากไหน เธอยื่นมือออกไปผลักศีรษะเขาพลางกัดฟันกรอด
“นายน่ะสิที่ทั้งน่าเกลียดทั้งโง่!”
เธอแค่ต้องการจะลูบศีรษะเขาเท่านั้น เหมือนที่คาดไว้ ผมเขานุ่มดีจริงๆ
คุณชายโจวโมโห “จะเอาใช่มั้ย”
ติงเซี่ยนหดศีรษะหลบไปที่มุมผนัง เอาหนังสือบังหน้าไว้และรีบซุกเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ไม่กล้า”
ในใจราวกับมีคนตัวเล็กๆ ถือธงโบกไปมาและตะโกนเชียร์ว่าเอาเลยๆ
อารมณ์ความรู้สึกในเวลานั้นบริสุทธิ์จริงๆ ความรักโลภโกรธหลงในตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริงทั้งหมด รวมถึงความมั่นใจและความรู้สึกต่ำต้อยล้วนแล้วแต่มีอยู่จริงทั้งสิ้น
เวลาเดินผ่านไป พวกเราไม่สามารถย้อนกลับไปได้ เวลาบอกกับเราว่าพวกเธอนั่นแหละที่เป็นเทพแห่งอนาคต
ติงเซี่ยนในเวลานั้นยอมรับแล้วว่าโจวซือเยวี่ยเป็นเทพ