“ข้ายังไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่ แล้วข้าจะกลับไปอีกครั้งได้รึ”
“อือ ได้สิ แต่ต้องรอนานหน่อยนะ เพราะมีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
“ปัญหารึ”
“ใช่ ฉันต้องออกไปข้างนอก แต่นายจะต้องอยู่รอที่นี่จนกว่าจะได้กลับไป”
“แล้วอย่างไรต่อรึ” เขาฟังฉันอย่างตั้งใจ
“นายจะคอยอยู่ที่นี่โดยไม่แตะต้องอะไรเลยได้มั้ยล่ะ แต่หลายชั่วโมง เอ้ย! หลายเลยนะ”
“ให้ข้าไปกับเจ้าไม่ได้รึ” เขาถามพร้อมกับเลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อย
“ไปกับฉันเนี่ยนะ”
“เจ้าคือคนที่ข้าเจอเป็นคนแรกที่นี่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะต้องอยู่กับข้าตลอดเวลาจนกว่าข้าจะได้กลับไป”
“เหรอ”
“ข้าควรไปกับเจ้า”
“เอางั้นเหรอ”
พ่อหนุ่มโชซอนคิดจะเดินวางมาดตามท้องถนนของเกาหลีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด? สำหรับฉันมันคือการแค่ออกจากอพาร์ตเมนต์แล้วขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียน แต่สำหรับนายมันคือโลกที่เหลือเชื่อเลยนะ! โลกที่ช่างเหมาะกับคำโกหกของฉันที่บอกว่าที่นี่คือรอยต่อสวรรค์
“เร็วเข้า รีบออกไปกันเถิด จะได้รีบกลับมาอย่างไรเล่า”
“คะ…คือว่า…”
“รีบออกเดินทางเถิด” เขาเอ่ยเร่งฉันอีกครั้ง
สุดท้ายฉันก็ออกมาข้างนอกกับเขา แต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือเวลาอยู่ข้างนอกเขาห้ามเปิดปากพูดเด็ดขาด ซึ่งเขาก็ยอมรับเงื่อนไขอย่างว่าง่ายโดยไม่ถามถึงเหตุผล แน่นอนว่าหากเขาเปิดปากพูดออกมาแม้เพียงสักนิด เรื่องชวนปวดหัวก็จะเกิดขึ้นทันที และฉันนี่แหละที่จะต้องรับผิดชอบด้วยความรู้สึก ‘ปวดหัวอย่างรุนแรง’
แต่มีความจริงที่ฉันลืมไปอยู่หนึ่งอย่างคือฉันลืมให้เขาเปลี่ยนชุดก่อนออกมา
“ถ่ายละครย้อนยุคเหรอ”
“ไหนๆ”
“ไม่เห็นมีกล้องเลย”
“แล้วเขาแต่งชุดแบบนั้นมาทำอะไรแถวนี้ หรือถ่ายวาไรตี้โชว์”
ทันทีที่ชายหนุ่มในชุดโบราณปรากฏตัวบนท้องถนน สายตาของทุกคนก็จับจ้อง บางคนถึงขั้นหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาตั้งท่าจะถ่ายรูป ทุกครั้งที่มีคนทำแบบนั้น ฉันจะต้องหันไปตะโกนห้ามปราม
“อย่าถ่ายนะคะ! เขาไม่ใช่ดาราหรอกค่ะ ถ้าถ่ายรูปฉันจะฟ้องร้องนะคะ!”
ถ้าเป็นพวกผู้ใหญ่เมื่อได้ฟังคำเตือนก็จะหยุดแล้วยิ้มอย่างละอายใจ แต่พวกเด็กนักเรียนหรือเด็กวัยรุ่นไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกนั้นตั้งใจจะถ่ายรูปเขาต่อไปโดยไม่สนใจจะฟังคำเตือน ฉันจึงต้องเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นอีก
“อย่าถ่ายค่ะ! ห้ามถ่าย!”
นี่ฉันไม่ได้เป็นผู้จัดการดาราสักหน่อย และฉันก็ไม่ได้สนุกเพลิดเพลินกับการขับไล่สายตาและการกระทำของคนเหล่านั้นด้วย ส่วนเขาน่ะเหรอ เอาแต่หมุนตัวมองโลกมหัศจรรย์โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่กำลังมองตัวเองเลยสักนิด จนฉันที่เดินอยู่ข้างหน้าจะต้องคอยหันไปมองเพราะกลัวเขาจะพลัดหลงไป ซึ่งทุกครั้งที่หันไปมอง เขาก็จ้องมองฉันกลับด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนจนฉันต้องหันหนีทุกทีไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก สุดท้ายฉันก็ทนสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้ จึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ซึ่งแม้แต่คนขับแท็กซี่เองก็ยังอดสงสัยไม่ได้เลย
“นี่ถ่ายรายการอะไรกันเหรอหนู” ลุงคนขับมองผ่านกระจกมองหลังอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนหนูแค่อยากแต่งตัวย้อนยุคน่ะค่ะ”
โชคดีที่ลุงคนขับเป็นคนไม่ค่อยยุ่งเรื่องของลูกค้า จึงหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถโดยไม่ถามอะไรอีก
“เฮ้! อย่าทำแบบนั้นสิ!”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ฉันดูเหมือนจะช็อกกับ ‘รถยนต์’ มาก เขากำลังเอาหน้าแนบกระจกพร้อมยกมือขึ้นถูไปมา ฉันมองภาพนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ