‘ไม่ได้หรอก คยองมิน พ่อเดินทางข้ามเวลาได้ เข้าไปสู่ยุคสมัยนั้นได้ สามารถเห็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ด้วยตาสองตา สามารถพูดคุยกับผู้คนในยุคนั้นได้ แต่พ่อไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่มีผลต่อประวัติศาสตร์ได้ เพราะนั่นคือหนึ่งในขอบเขตของนักท่องเวลา’
‘ขอบเขตของนักท่องเวลา…’
แล้วสาเหตุที่พ่อต้องเผชิญหน้ากับความตายในปี 1592 นั้นคืออะไรกันล่ะ
ติ๊งต่อง…
เสียงกริ่งทำให้ฉันหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด ที่อินเตอร์โฟนปรากฏภาพของอากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู พอฉันกดปลดล็อก อาก็เดินเข้ามาพร้อมถุงที่เต็มไปด้วยขนมปัง แยมและเนย
“เดาว่าเธอยังไม่ได้กินอาหารเช้า” อาวางของที่ซื้อมาบนโต๊ะอาหาร “ตอนเช้ากินขนมปังได้มั้ย”
“ได้ค่ะ”
“โชคดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นค่อยไปกินข้าวกลางวันกันข้างนอกก็แล้วกัน ระหว่างทางฉันแวะแจ้งความว่าพ่อของเธอหายตัวไปที่สถานีตำรวจเอาไว้แล้ว ตำรวจบอกว่าคงต้องมีการสอบสวนกันเสียก่อน สมัยนี้ต่างจากสมัยก่อนมากเลยนะ มีการสอบสวนด้วย แต่ที่อเมริกาก็คงเป็นอย่างนี้เหมือนกัน”
“เอ่อ…คุณอาคะ เรื่องที่คุณอาพูดเมื่อวาน ที่บอกว่าคุณปู่ก็เสียชีวิตตอนท่องเวลา…”
“ใช่ รู้สึกจะยุคโครยอน่ะ ปลายยุคโครยอ”
“แล้วทำไมถึงบอกว่าตระกูลเราโดนสาปแช่งล่ะคะ”
อาหยุดมือที่กำลังทาแยมลงบนขนมปังแล้วเงยหน้ามองฉัน “ไม่ใช่แค่ปู่ของเธอหรอกนะ ทั้งคุณทวด แล้วก็คุณปู่ทวดต่างก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางข้ามเวลาทั้งนั้น”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ ฉันเคยได้ยินเรื่องคุณทวดกับคุณปู่ทวดมาจากคุณปู่น่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นทั้งที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่ขัดขวางพ่อล่ะคะ จริงๆ หากขัดขวางไม่ให้ไปก็น่าจะได้นี่คะ”
“พ่อของเธอเคยบอกอะไรไว้บ้างล่ะ ฟังให้ดีนะ คยองมิน ถ้าเธอเดินทางข้ามเวลากลับไปช่วงก่อนที่พ่อเธอจะตาย เธอว่าเธอจะขัดขวางความตายของเขาได้มั้ย”
“คือว่า…”
“เธอบอกฉันทางโทรศัพท์แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าตอนที่เธอไปน่ะ พ่อของเธอกำลังจะตาย มันก็แบบนั้นแหละ นักท่องเวลาสามารถเดินทางไปในวันนั้นๆ ได้ แต่ไม่สามารถหยุดเวลาได้ และยิ่งเรื่องที่เกี่ยวพันกับตัวเองโดยตรงก็จะมีแต่ส่งผลเสียกับตัวเอง เหมือนกับว่าต้องใช้พลังเยอะอะไรทำนองนั้น ดังนั้นพ่อเธอจึงส่งเธอกลับมาที่นี่ก่อนที่เขาจะตายยังไงล่ะ นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้วได้ ซึ่งจะเรียกมันว่าขอบเขตของนักท่องเวลาก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น หากหนูไม่สามารถขัดขวางการตายของพ่อได้…เท่ากับว่าหนูคงจะไม่ได้พบพ่ออีกแล้วใช่มั้ยคะ”
“อยากเจอพ่อเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะเธอเห็นเต็มสองตาแล้วไงว่าพ่อตายไปแล้ว กรณีนี้ถึงเธอจะเป็นนักท่องเวลา แต่เธอรู้อยู่แล้วว่ามีการตายเกิดขึ้น เธอจึงไม่สามารถเผชิญหน้ากับพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม”
“ถ้าอย่างนั้นหนูสามารถเห็นภาพตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ได้อีกครั้งมั้ยคะ” น้ำเสียงของฉันสะอื้นขึ้นมานิดหน่อย อาจึงพูดเหมือนตักเตือนฉัน
“มันก็ทำได้ แต่…ฉันไม่อยากบอกวิธีนั้นกับเธอ”
“แสดงว่ามีวิธีใช่มั้ยคะ บอกหนูหน่อยนะคะ!”
อารินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่ฉันรู้มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือใช้ ‘การบิดเบือนของเวลา’ ”
“การบิดเบือนของเวลาเหรอคะ”
“ใช่ คือการหวังให้เจอกันโดยบังเอิญน่ะ บางทีอาจจะรอแค่วินาทีเดียว หรือสิบนาทีก็ได้ แต่เธอต้องไปอยู่ในสถานที่นั้นที่พ่อจะปรากฏตัวเสียก่อน จากนั้นใช้การบิดเบือนของเวลาเพื่อพบกัน ‘โดยบังเอิญ’ แม้จะเป็นเพียงแค่แป๊บเดียว แต่เธอก็จะสามารถเห็นพ่อได้ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าการบิดเบือนที่ว่านี้น่ะ นักท่องกาลเวลาอย่างพวกเราจะทำให้เกิดขึ้นได้ยังไง ถึงแม้เธอจะไปอยู่ในเวลาและสถานที่เดียวกันกับพ่อ แต่หากไม่เกิดการบิดเบือนของกาลเวลา เธอก็จะไม่ได้เจอเขา ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้ใช่มั้ยว่าเธอต้องเดินทางไปอดีตเสียก่อนถึงจะทำแบบนี้ได้ และถ้าเธอเดินทางไปอดีตแล้ว เธอก็อาจจะกลับมายังโลกปัจจุบันไม่ได้อีก อาจจะถูกขังอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล อย่าลืมว่าพ่อของเธอตายไปแล้วนะ ไม่มีใครพาเธอกลับมาที่นี่ได้อีกแล้ว เธอคงไม่คิดจะเดินทางไปอดีตเพียงเพื่อเวลาแค่วินาทีเดียวหรือแค่สิบนาทีหรอกนะ”