โครม!
จำได้ว่าเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ ไปแล้ว ครั้งนี้ก็ยังมีเสียง ‘โครม’ ดังแว่วมาจากห้องหนังสืออีกรอบ เสียงนี้ทำให้หงุดหงิดใจเสียจริง ฉันพยายามจะไม่หันไปมองทางห้องหนังสือโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงนั้น
อายุสิบแปดเป็นวัยแห่งการอยากรู้อยากเห็น แต่ฉันไม่รู้ว่าชายหนุ่มวัยสิบแปดปีที่มาจากยุคโชซอนนั้นมีความคิดความอ่านอย่างไร คนส่วนใหญ่ที่พ่อเคยพามาจากอดีตมักอยู่ในวัยกลางคน และแทบทั้งหมดจะเป็นชาวบ้านหรือทาสที่ไม่รู้แม้กระทั่งตัวหนังสือ พวกเขามายังศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดพร้อมกับพ่อ พักอยู่เพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปอย่างเงียบๆ ภาพในโลกอนาคตที่พวกเขาเห็นนั้นเขาจะจำเพียงแค่ ‘โลกแห่งท้องฟ้า’ หรือไม่ก็จำเพียงแค่ ‘ความฝัน’ เท่านั้น แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเขาเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์
เสียงดังโครมครามเงียบหายไปจนกระทั่งฉันกินข้าวจนหมด แต่ขณะที่กำลังเก็บถ้วยชามนั้น จู่ๆ ฉันก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาจนต้องทรุดลงไปนั่ง
“โอ๊ย…”
ขาเริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว แต่หัวยังปวดอยู่ ทันใดนั้นฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอาการปวดหัวนี้ต้องมีที่มาจากเขาที่อยู่ในห้องสมุดแน่นอน ฉันจึงตรงไปยังห้องสมุดทันที
พอเปิดประตู เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ ตอนนี้เขาถอดหมวกทรงสูงไว้ข้างๆ ในมือมีหนังสือเล่มหนึ่ง ดูเหมือนกำลังหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ ฉันจึงรีบสาวเท้าเข้าไปแย่งหนังสือมาทันที
“พ่อแม่ไม่เคยสั่งเคยสอนเหรอว่าห้ามหยิบของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เขาทำหน้างุนงงกับน้ำเสียงหงุดหงิดของฉัน พอก้มอ่านชื่อหนังสือที่เขาอ่านอยู่เมื่อกี้ก็พบว่าบนปกมีตัวอักษรจีนเขียนเอาไว้ว่า ‘พงศาวดารพระเจ้าอินโจ’ ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือปกแข็งที่จัดทำขึ้นมาใหม่โดยคณะกรรมการเรียบเรียงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่หนังสือที่ถูกเขียนขึ้นในยุคโชซอน ดังนั้นจึงยากสำหรับเขาในการทำความเข้าใจภาษาปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ควรอ่าน
ในช่วงที่นักท่องเวลาได้อยู่ใกล้กับคนที่มาจากอดีต ถ้าคนจากอดีตได้รู้ ‘อนาคต’ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอดีตของตัวเอง นักท่องเวลาก็จะมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง พ่อพาเขามาจากอดีตก็จริง แต่พ่อไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ดังนั้นฉันที่เป็นนักท่องเวลาที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดจึงรู้สึกปวดหัวแทนพ่อ ซึ่งพ่อมักบอกเสมอว่าอาการแบบนี้คือ ‘คำเตือน’ คือการเตือนเพื่อป้องกันไม่ให้คนในอดีตรู้ความจริง เพราะถ้าคนในอดีตรู้ความจริง มันจะส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์แน่นอน
ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องคำเตือนนั่นสักเท่าไหร่ ฉันใส่ใจแค่ว่าการกระทำของเขาทำให้ฉันต้องปวดหัว ฉันอยากชกหน้าเขาสักหมัดจริงๆ
“บอกแล้วไงว่าให้อยู่เฉยๆ!”
“ข้าขอโทษ…” เขาเอ่ยปากขอโทษพร้อมกับทำหน้าสลด
ตอนนี้เขาไม่ได้สวมหมวก ฉันจึงพบว่าใบหน้าของเขาหล่อมาก หล่อจนอยากจะรีบยื่นหนังสือกลับคืนไปให้เลยล่ะ ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่พวกบ้าผู้ชายหล่อแต่ฉันก็ลดความแข็งของน้ำเสียงลงไปอีกหลายระดับ
“ถ้าเบื่อก็อ่านหนังสือเล่มอื่นนะ อ่านแค่เล่มที่ฉันเลือกให้อ่านก็พอ”
ทันทีที่น้ำเสียงของฉันอ่อนลง เขาก็พยักหน้ารับช้าๆ
“ว่าแต่ นายอ่านหนังสือออกด้วยเหรอ”
คำถามของฉันทำให้เขาขมวดคิ้วทันที
“ข้าร่ำเรียนมาทุกตำรา จึงรู้หนังสือ ว่าแต่เจ้ารู้หนังสือด้วยรึ”
“ฉันก็ได้เรียนมาทุกตำราเหมือนกัน”
แน่นอนว่าฉันได้เรียนทุกตำราของโชซอนเมื่อตอนที่ฉันข้ามเวลาไปยุคโชซอน เมื่อสี่ปีก่อนหลังจากที่พ่อพาฉันกลับมายังยุคปัจจุบันและได้ไปโรงเรียน ฉันก็บอกกับเพื่อนๆ ว่าฉันไปเจอพระเจ้าเซจงมหาราชมา และได้เรียนทุกตำราของโชซอน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้ฉันเข้าสู่เส้นทาง ‘การโดนเพื่อนกลั่นแกล้ง’
“กษัตริย์พระองค์ก่อนคือใครเหรอ”
ที่ถามเพราะจะได้หยิบหนังสือที่อยู่ในยุคที่เขาอาศัยอยู่ออกมาให้อ่าน แม้หนังสือในยุคนั้นจะมีไม่มากนักก็ตาม
“หมายถึงพระนามหลังสวรรคตของกษัตริย์พระองค์ก่อนอย่างนั้นรึ”
“ใช่”
“เจ้าถามเรื่องนั้นทำไม”
ฉันถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะตอบ “ฉันเห็นว่านายดูเบื่อๆ ก็เลยจะหาหนังสือให้อ่านน่ะ ไม่อยากอ่านก็ตามใจ”