ตอนนั้นเขาพูดด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้นมาอีก แต่จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการแจ้งเตือน และใครสักคนก็เดินเข้ามาในห้อง นางไม่ได้พูดจาใดๆ ชุดของนางแตกต่างจากพวกนางในในวัง น่าจะเป็นคนสำคัญสักคน ฉันเอาแต่จ้องมองนางไม่วางตา
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านพาซังกุงพระพี่เลี้ยงมาจากนอกวัง อีกทั้งนางยังอายุน้อยมาก ท่านจะให้ชายาของท่านคิดเช่นไรเพคะ”
ชายางั้นเหรอ
พระชายาขององค์ชายจองวอนก็คือภรรยาของเขาสินะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านางเป็นใครและลำบากใจว่าจะลุกออกไปจากห้องนี้ดีหรือไม่ แต่องค์ชายจองวอนไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองนางและไม่ยอมบอกให้ฉันออกไปข้างนอกห้องด้วย เขาเพียงแค่มองใบหน้าของจงที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกับไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“แม้แต่ตอนนี้ท่านก็ไม่อยากมองใบหน้าชายาของท่านหรือเพคะ”
คำพูดตรงไปตรงมาของนางทำให้องค์ชายจองวอนเงยหน้าขึ้นมองภรรยาของตนเอง แต่สายตากลับเย็นชาราวกับกำลังมองคนไม่รู้จัก “นั่งสิ อากาศด้านนอกหนาวเหน็บนัก”
นางเข้ามานั่งใกล้เขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง บรรยากาศระหว่างสามีภรรยาที่มีลูกด้วยกันถึงสามคนช่างเย็นชาเหนือคำบรรยาย ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจคำพูดที่ได้ยินมาจากนางในในห้องเตรียมสำรับแล้ว
นางจ้องฉันสักพักก่อนจะหันไปมองใบหน้าจงที่กำลังหลับใหล
“ลูกไม่ได้ป่วยไข้ตรงไหนใช่หรือไม่เพคะ”
“ถ้าป่วยไข้ ข้าจะส่งข่าวไปบอกเอง” คำตอบนี้ช่างห้วนเสียเหลือเกิน
“ชายาของท่านคงไม่ได้ออกจากวังนานเกินไปใช่หรือไม่เพคะ”
ดูท่าทางนางพยายามจะผ่อนคลายบรรยากาศที่ตนเองสร้างเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงด้วย แต่คำตอบขององค์ชายจองวอนที่ส่งกลับไปก็ยังแข็งกระด้างเหมือนเดิม
ฉันที่อยู่ระหว่างสามีภรรยาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“ครั้งนี้เจ้าจะพักที่นี่นานเท่าใด”
ใบหน้าของนางที่คลายลงมานิดหน่อยกลับมาแข็งกระด้างในพริบตา ก่อนนางจะลุกขึ้น และพูดกับองค์ชายจองวอนด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
“พระมเหสีเรียกหม่อมฉันให้มาเข้าเฝ้าเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่ไม่กี่วันแล้วจะกลับออกไป ท่านอย่ามาสนใจชายาผู้นี้ของท่านเลยเพคะ”
จากนั้นนางก็หุนหันออกไปนอกห้อง ทิ้งบรรยากาศอันตึงเครียดเอาไว้ให้ฉันกับองค์ชายจองวอน
ในตอนนั้นเององค์ชายจองวอนก็เอ่ยกับฉันทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่จง
“ขอโทษนะ แต่เจ้าออกไปอยู่ที่อื่นสักพัก ข้าจะอยู่ที่นี่กับจงเอง”
“เอ่อ…เพคะ”
ฉันรีบลุกขึ้นแล้วออกมาด้านนอก แม้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่อากาศยังหนาวเหน็บอยู่ ฉันเดินไปยังที่พักของยูซังกุง โชคดีเหลือเกินที่ยูซังกุงยังไม่นอน ทันทีที่นางฟังคำที่องค์ชายจองวอนบอก นางก็ถอนหายใจยาวออกมา บางทีนางอาจจะกำลังนึกถึงความสัมพันธ์ขององค์ชายจองวอนกับพระชายาอยู่ก็ได้ นางบอกว่ามีที่พักว่างอยู่ที่หนึ่ง ไม่มีใครใช้มานานแล้ว เวลาจะจุดไฟอาจจะใช้เวลาสักหน่อย ฉันจึงถามตำแหน่งที่พักแล้วบอกว่าจะไปที่นั่นเอง ซึ่งนางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
เมื่อฉันมาถึงที่พักชั่วคราวนั่น บ่าวสองคนก็วิ่งวุ่นจุดไฟให้ ฉันอยากจะช่วย แต่พอเห็นใบหน้าของพวกนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าสีดำ ฉันก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ก่อนจะเดินออกมาข้างนอกโดยปล่อยให้พวกนางจุดไฟต่อไป
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกได้ถึงอิสระ ปกติในเวลากลางคืนฉันต้องคอยให้จงนอนหลับเสียก่อนแล้วจึงเข้านอนข้างๆ จง แต่คืนนี้จงนอนกับพ่อของเขา ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ถ้าจงตื่นมาตอนเช้า จงจะดีใจไหมที่พ่อมานอนข้างๆ ถ้าพ่อลูกได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศคงจะดีขึ้นมาไม่น้อย
ฉันเดินเรื่อยมาตามกำแพงที่ไม่รู้ว่ายาวไปถึงที่ไหน มือและเท้าเย็นขึ้นเรื่อยๆ แต่ฉันไม่อยากพลาดอิสระนี้ หิมะหยุดตกทำให้มองเห็นดวงจันทร์ที่กำลังส่องสว่าง ไร้เมฆบดบัง
ที่นี่กลายเป็นพระราชวังชั่วคราวเนื่องจากพระราชวังเดิมถูกเผาในช่วงสงครามอิมจิน เดิมเป็นที่ประทับขององค์ชายวอลซานพระเชษฐาในพระเจ้าซองจง และเมื่อพระเจ้าซอนโจเสด็จกลับจากการลี้ภัยที่นี่ก็กลายเป็นพระราชวังชั่วคราว ต่อมาเมื่อองค์ชายควังแฮได้ขึ้นครองราชย์ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชวังคยองอุน และหลังจากที่พระราชวังชังด็อก บูรณะเสร็จสมบูรณ์หลังจากถูกเผาในช่วงสงคราม ราชสำนักก็ถูกย้ายไปอยู่ที่นั่น ที่นี่จึงถูกใช้เป็นพระราชวังรองมาตลอด 270 ปีและถูกเปลี่ยนชื่อเป็นซอกุง ต่อมาพระเจ้าโกจง ทรงลี้ภัยและได้มาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นคยองอุนอีกครั้ง และก่อสร้างขยับขยายเพิ่มเติม หลังจากที่สละราชสมบัติให้พระราชโอรส พระเจ้าโกจงก็ประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ต่อ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นพระราชวังถ็อกซู ถึงแม้ลักษณะภายนอกจะเป็นแค่บ้านที่มีหลังคาต่ำกว่าพระราชวังทั่วไป แต่ที่นี่ก็ถูกเรียกว่า ‘วัง’ เช่นกัน