สวนกว้างกลางพระราชวังชั่วคราวกลายเป็นโลกสีขาวโพลนเพราะหิมะตกลงมาเมื่อหลายวันก่อน
“ข้าเองก็ไม่ได้เล่นว่าวมานานมากแล้วจริงๆ…”
การทำให้ว่าวลอยอยู่บนท้องฟ้ากลายเป็นหน้าที่ของฉันไปเสียแล้ว จงคิดว่าใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็คงทำให้ว่าวลอยขึ้นไปอยู่สูงบนฟ้าได้จึงจ้องมองตาแป๋ว แต่ฉันนี่แหละที่ยังงงอยู่ ฉันจะเอาว่าวขึ้นไปได้ยังไง ฉันกลัวจะทำให้จงผิดหวังเหลือเกิน
ระหว่างนั้นองค์ชายจองวอนที่ยืนมองอยู่ก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
“เจ้าเคยเล่นว่าวแน่รึ”
“แน่เพคะ หม่อมฉันเล่นว่าวกับพ่อทุกฤดูหนาวเลยนะเพคะ”
แน่นอนว่าไม่ใช่ในวัง แต่เป็นริมแม่น้ำฮันต่างหาก
“เร็วเข้า! เร็วๆ สิพี่สาว!”
องค์ชายจองวอนเอามือไพล่หลังแล้วจ้องมอง ฉันจับว่าวแล้วเริ่มวิ่งอย่างมั่นใจ แต่ว่าวกลับลอยสูงแค่หัวเข่าแล้วร่วงลงมาภายในไม่กี่วินาที ฉันจึงหยิบว่าวขึ้นมาแล้ววิ่งอีกครั้ง แต่ว่าวก็ยังไม่ยอมลอยขึ้น ฉันวิ่งแล้ววิ่งอีกจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า รอยยิ้มจึงค่อยๆ หายไปจากใบหน้าของจง
“ถ้าเจ้าลำบากให้ขันทีทำแทนก็ได้”
“เพราะลมต่างหากเพคะ อีกสักประเดี๋ยวลมก็จะเปลี่ยนทิศทางแล้ว ว่าวก็จะลอยขึ้นเพคะ”
องค์ชายจองวอนไม่มีทางที่จะมาวิ่งเพื่อทำให้ว่าวลอยเด็ดขาด เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของยุคนี้
ฉันเริ่มวิ่งอีกครั้งพร้อมแกว่งแขนไปมา แต่ว่าวก็ไม่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างที่ใจคิดเลยสักนิด แล้วทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฉันก็เจ็บจี๊ดตรงแผลเป็นที่หัวไหล่ที่เคยถูกเสือทำร้าย ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะอากาศหนาว แต่มันกลับเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
“โอ๊ย!”
เมื่อความเจ็บมาถึงขีดสุด ฉันก็หยุดวิ่งแล้วทรุดลงไปกับพื้น
“เจ้าเป็นอะไรรึ”
องค์ชายจองวอนรีบเดินมาทางฉัน แต่ฉันรีบลุกขึ้นพร้อมปฏิเสธ
“ไม่เป็นอะไรเพคะ”
แต่แล้วฉันก็ทรุดลงอีกครั้ง
“ระวังหน่อยสิ!”
องค์ชายจองวอนยื่นมือมาคว้าตัวฉันเอาไว้จนเราล้มลงไปทั้งคู่ พอตั้งสติได้ก็พบว่าร่างขององค์ชายจองวอนกำลังทับอยู่บนร่างของฉัน
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฉันเป็นหรือไม่เป็นอะไร แต่ปัญหาคือร่างของเรากำลังแนบชิดกันต่างหาก
“คือ…คือว่า…”
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่าปัญหาตอนนี้คืออะไร
“หนาวเพคะ”
ฉันตอบออกไปแบบนั้นเพราะหลังของฉันกำลังแนบกับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะต้องการแก้เขินที่เขากำลังทับร่างของฉันอยู่ ทันใดนั้นเองใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงก่ำ เขารีบลุกขึ้นทันที
“ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร…”
ฉันปัดหิมะที่เลอะตามตัวและทำท่าจะลุกขึ้น องค์ชายจองวอนจึงยื่นมือออกมา ฉันจับมือของเขาแล้วลุกขึ้น ระหว่างนั้นเสียงร้องไห้ของจงก็ดังขึ้น พอฉันหันไปมองก็พบว่าว่าวของจงพังหมดแล้ว
“ทำอย่างไรดีเพคะ ฝ่าบาทพระราชทานให้แท้ๆ”
“สักวันมันก็ต้องพังอยู่ดี เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“แต่ว่า…” ฉันหันไปมองจงที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร และในระหว่างนั้นเอง
“นี่มันคืออะไรหรือเพคะ!”
เสียงแข็งกร้าวดังขึ้น จงหยุดร้องไห้แล้วหันไปมอง ท่านแม่ของจงกำลังยืนมองด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
“ชายา”
องค์ชายจองวอนเรียกแทนการทักทาย คนที่พระชายาเดินปรี่เข้ามาหากลับไม่ใช่องค์ชายจองวอนหรือจง แต่เป็นฉัน ฉันจึงก้มหน้าลง แม้ฉันจะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่การที่องค์ชายจองวอนมาช่วยจับฉันจนล้มทับกันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก ซึ่งไม่รู้ว่านางเดินเข้ามาเห็นตั้งแต่ตอนไหน
“ซังกุงพระพี่เลี้ยง” นางเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกมาก
“เจ้าเข้ามาในวังด้วยเหตุอันใดหรือชายา”
“ทำไมหรือเพคะ ในเมื่อพระสวามีและโอรสของหม่อมฉันอยู่ที่นี่ เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือเพคะ แล้วอีกอย่างที่วังนี้ก็เป็นที่ประทับของฝ่าบาท”
สงครามเย็นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกคนในวังนี้ล้วนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ขององค์ชายจองวอนกับพระชายานั้นไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่จะมายิ้มแย้มแล้วพูดคุยสนทนากัน
“แสดงว่าเจ้ามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่ออย่างนั้นรึ”
“เพคะ มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ และพระองค์ตรัสว่าได้พระราชทานว่าวให้จงด้วย หม่อมฉันอยากเห็นว่าวตัวนั้นจึงไปที่ตำหนักของจง แต่จงไม่อยู่ ส่วนท่านหม่อมฉันก็นึกว่าท่านไปคุมการก่อสร้างที่พระราชวังชังด็อกเสียอีกเพคะ”
“หลายวันก่อนหิมะตกหนักมากจึงพักการก่อสร้างชั่วคราว”
“เช่นนั้นหรือเพคะ” พระชายายังคงยิ้มเหมือนเดิม แต่เป็นรอยยิ้มที่เลือดเย็นสิ้นดี “อ้อ ท่านพ่อของหม่อมฉันเปรยๆ ว่าอยากพบท่านบ้างเพคะ ท่านบอกว่านานแล้วที่ไม่ได้พบหน้ากัน”
“รู้แล้ว อีกสองสามวันข้าจะไปหาท่านพ่อของเจ้า”
“อย่าดีกว่าเพคะ ไปพร้อมกับหม่อมฉันวันนี้ดีกว่า เพราะหม่อมฉันมีเรื่องต้องคุยกับท่าน”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องซังกุงพระพี่เลี้ยงคนใหม่อย่างไรเล่าเพคะ”
ซังกุงพระพี่เลี้ยงคนใหม่งั้นเหรอ
“ซังกุงพระพี่เลี้ยงคนใหม่รึ”
“ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วเพคะ ดังนั้น…” พระชายาหันกลับมามองฉัน
“คิมซังกุง ที่ผ่านมาเจ้าดูแลจงได้ดี แต่เจ้าจะต้องออกจากวังไปภายในวันนี้ เจ้าคงไม่เสียใจหรอกนะที่ข้าทำเช่นนี้”