เช้าวันรุ่งขึ้น หิมะที่ตกลงมาราวกับฟ้ารั่วก็หยุดตก นางในจึงพากันรวมตัวกวาดหิมะตามลานต่างๆ ในตำหนัก พอเสร็จงานพวกนางก็เข้ามาหลบหนาวที่ทเวซอนคันในสภาพที่หน้าและมือแดงก่ำ
“เวลาอย่างนี้ข้าอยากทำงานที่ทเวซอนคันนัก” นางในคนหนึ่งยื่นมือออกไปอังตรงช่องใส่ฟืนพลางกล่าว
ฉันได้แต่ยิ้ม ถ้าพ้นฤดูหนาวไปก็ไม่มีใครแวะมาที่นี่ถ้าไม่ได้ยกสำรับมา ตลอดระยะเวลาสั้นๆ ที่นางในพวกนี้เข้ามาคลายหนาวที่นี่นั้น มันก็ทำให้ชีวิตของฉันคลายเหงาขึ้นบ้าง
“ให้ตายสิ! พวกเจ้ามาทำอะไรกันตรงนี้ องค์ชายรัชทายาทเสด็จมา ยังไม่รีบไปเตรียมของว่างต้อนรับพระองค์อีก”
ทันทีที่จองซังกุงปรากฏตัว พวกนางในก็แตกกระเจิง
“องค์…องค์ชายรัชทายาทมาหรือเจ้าคะ!”
ดูเหมือนว่าฮนจะมาที่นี่ ความสัมพันธ์ของพระสนมอินบินกับฮนไม่ค่อยดีนัก เริ่มต้นมาตั้งแต่รุ่นแม่ มีข่าวลือว่าความจริงแล้วพระสนมกงบินแม่ของฮนไม่ได้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะคำสาปแช่งของพระสนมอินบิน ซึ่งพระเจ้าซอนโจสั่งห้ามไม่ให้ใครพูดถึงข่าวลือนี้อีก และพอมาถึงรุ่นลูก ฮนกับองค์ชายชินซอง ลูกของพระสนมอินบินก็มาเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท
ดังนั้นแม้พระสนมกงบินจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างฮนกับพระสนมอินบินก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย และเหตุผลที่ทำให้ฮนมาปรากฏตัวที่ตำหนักของพระสนมอินบินแต่เช้าตรู่แบบนี้คืออะไรกัน
‘หลังจากนี้ถ้าข้าอยากพบเจ้า ข้าจะไปหาเจ้าที่ตำหนักพระสนมอินบิน’
คำพูดของฮนลอยเข้ามาในหัวฉัน หรือฮนมาที่นี่เพื่อเจอฉัน ถ้าเขามาพร้อมกับองค์ชายจองวอนก็พอเข้าใจได้อยู่ เพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดีมาก แต่ดูเหมือนคราวนี้องค์ชายจองวอนจะไม่ได้มาด้วย ฉันที่อยู่แต่ที่นี่จึงไม่มีทางรู้เลยว่าข้างนอกเป็นยังไงกันบ้าง
งานทุกอย่างในวันนี้ของฉันสิ้นสุดลงเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ฉันต้องรอให้ไฟมอดดับจนหมดเสียก่อนจึงจะกลับที่พักได้ ช่างเป็นงานที่น่าเบื่อมาก จริงๆ แล้วแค่ราดน้ำลงไปไฟก็จะดับลงทันที แต่ช่วงนี้อากาศหนาวมาก หากดับไฟด้วยน้ำเย็น ช่องใส่ฟืนก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง แล้ววันรุ่งขึ้นจะติดไฟลำบาก ฉันจึงค่อยๆ ใช้ไม้เขี่ยถ่านที่มีไฟคุอยู่โดยพยายามจะไม่ใส่ใจใบหน้าที่เปื้อนเขม่าจนดำ
ขณะที่ความมืดมิดเริ่มมาเยือน จองซังกุงก็เปิดประตูเข้ามา ฉันจึงรีบลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพ
“ท่านซังกุง”
แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นขันทีคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก
“นางเป็นคนสุดท้ายเจ้าค่ะ”
พอจองซังกุงพูดจบ ขันทีก็มองฉันแล้วอมยิ้ม “นางในคนนี้เป็นคนสุดท้ายแล้วสินะ”
เมื่อได้ฟังเสียง ฉันก็จำได้ว่าเขาคือใคร เขาคือขันทีคนที่ให้ฉันเหยียบหลังขึ้นไปนั่งบนหลังม้าในวันที่ฉันกับฮนได้พบกันอีกครั้ง เขาเป็นขันทีของตำหนักองค์ชายรัชทายาท ฉันรู้สึกกลัวมาก ไม่อยากให้เขาจำฉันได้ อีกทั้งยังรู้สึกผิดที่เหยียบหลังของเขาด้วย
แล้วขันทีก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ฉัน แม้ตอนนี้จะมืดแล้ว แต่มองแค่ปราดเดียวฉันก็รู้ว่ามันคือฮวังคัม
“องค์ชายรัชทายาทรับสั่งให้นำมาแจกนางในทุกคนของตำหนักนี้คนละผล”
ฮนเนี่ยนะแจกฮวังคัมแก่พวกนางในของตำหนักพระสนมอินบิน พอเห็นฉันลังเลที่จะรับ จองซังกุงก็อธิบายเพิ่มเติม
“เมื่อตอนเช้าองค์ชายรัชทายาทเสด็จมาประทานฮวังคัมให้แก่นางในทุกคนเพื่อตอบแทนที่ดูแลพระสนมอินบินเป็นอย่างดีน่ะ เจ้ารีบรับไปสิ”
องค์รัชทายาทประทานฮวังคัมให้เป็นรางวัลแก่พวกนางในของตำหนักพระสนมอินบิน มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก แต่คงมีข้ออ้างนี้เพียงข้อเดียวที่เขาจะสามารถนำฮวังคัมมาให้ฉันได้ เขาใส่ใจกับคำขอร้องของฉันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ และนอกจากฉันจะได้กินฮวังคัมแล้ว นางในทุกคนในตำหนักนี้ยังได้กินฮวังคัมกันถ้วนหน้าอีกด้วย เขาช่างมีน้ำใจดีจริงๆ
จองซังกุงคงเห็นว่าฉันยืนนิ่งไม่ยอมยื่นมือออกมารับจึงกล่าวขึ้นว่า “ดูท่าทางนางคงไม่ชอบฮวังคัมนะเจ้าคะ เอามาให้ข้าก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะเอาไปให้นางในคนอื่นแทน”
ฉันจึงรีบตั้งสติ “ข้าชอบฮวังคัมเจ้าค่ะ! ชอบมากเลยด้วย”
จองซังกุงมองฉันอย่างหมั่นไส้ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป ฉันมองฮวังคัมที่ฮนส่งมาให้ด้วยความพอใจ แม้จะมีแค่ลูกเดียว แต่แค่นี้ก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว
พอแน่ใจว่าจองซังกุงเดินพ้นไปแล้ว ขันทีก็หันไปมองรอบๆ ก่อนจะยื่นถุงผ้าสีขาวให้ฉัน “รีบรับนี่ไปด้วย”
ฉันรับถุงผ้าที่หนักอึ้งใบนั้นมาอย่างงุนงง
“จากองค์ชายรัชทายาท”
“อะไรหรือเจ้าคะ”
“ก็ฮวังคัมอย่างไรเล่า”
“ฮวังคัมหรือเจ้าคะ”
“องค์รัชทายาทรับสั่งให้แจกฮวังคัมแก่นางในของตำหนักนี้คนละหนึ่งผล แต่พระองค์รับสั่งว่าสำหรับเจ้าแล้วผลเดียวคงไม่พอ”
หน้าของฉันร้อนผ่าว เขาช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นจริงๆ ที่ที่พักของฉันยังมีอุนจีและมียองที่แวะเวียนมาหาบ่อยๆ ส้มลูกเดียวคงไม่พอสำหรับคนสามคนแน่ๆ
“ข้าขอตัวก่อน”
พอขันทีจากไปแล้ว ฉันก็มองดูถุงฮวังคัมอยู่เนิ่นนานด้วยความซาบซึ้งใจ