บทที่ 1
ปลายเดือนสิงหาคม เมืองไห่เฉิงเผชิญกับการมาเยือนของพายุฝนฟ้าคะนองครั้งสุดท้าย เมฆดำกดทับอยู่เบื้องบน ท้องฟ้ามืดลงเร็วกว่าวันก่อนหน้า
ประตูห้องนอนสำรองถูกเปิดออก อู๋อิงหวาน้าสะใภ้ถือผ้าขนหนูเช็ดน้ำไปพลางบ่นเสียงดังไปพลาง “ฝนตกหนักขนาดนี้ไม่รู้จักไปเก็บผ้าที่ดาดฟ้า! ขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่กลัวเฉาซะด้วย!”
ชีอิ้งนั่งอยู่ด้านหน้าของบานหน้าต่างไม่ขยับเขยื้อน แม้แต่อิริยาบถก็ไม่เปลี่ยนแปลง
อวี๋จั๋วที่เอนตัวอยู่บนโซฟาเอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน “เธอไม่ได้ยิน แม่ตะโกนใส่เธอไปจะมีประโยชน์อะไร”
อู๋อิงหวาเดินข้ามห้องไปฟาดศีรษะลูกชายหนึ่งที “เธอหูหนวกแล้วแกก็หูหนวกด้วยเหรอ เอาแต่เล่นเกม เดี๋ยวแกก็จะขึ้น ม.ปลาย ปีหนึ่งอยู่แล้วนะ ยังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเหมือนตอน ม.ต้น อยู่ได้”
อวี๋จั๋วถูกฟาดเข้าหนึ่งทีก็มีสีหน้าไม่พอใจ ลูบคลำหัวที่ถูกตีสักพักจึงลุกขึ้นวิ่งกลับห้องตัวเองแล้วเหวี่ยงประตูปิด
อู๋อิงหวาโมโหฮึดฮัด หันศีรษะไปก็เห็นชีอิ้งยังคงนั่งอยู่ข้างหน้าหน้าต่างโดยรักษาอิริยาบถเดิมไว้ เงาหลังแบบบางของเด็กสาวตัดกับสายฝนที่ตกหนักนอกหน้าต่าง พลันทำให้เกิดความเงียบเหงาอ้างว้างประการหนึ่ง เมื่อนึกถึงสิ่งที่หลานสาวคนนี้ประสบพบเจอ ความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจก็สลายไปครึ่งหนึ่งทันใด
อู๋อิงหวาเดินเข้าไปเคาะโต๊ะ
ชีอิ้งค่อยหันมา เมื่อเห็นว่าเป็นน้าสะใภ้ นัยน์ตาที่กระจ่างใสและอ่อนโยนก็เป็นประกายวาบ ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้มอย่างระมัดระวังออกมา
อู๋อิงหวาถูกรอยยิ้มนี้ของหลานสาวทิ่มแทงจนหัวใจชาวูบ ลอบทอดถอนใจอยู่ข้างในพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ตัวอักษร พิมพ์เสร็จก็ส่งให้อีกฝ่ายดู
สายตาของชีอิ้งจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่ส่องสว่าง
อู๋อิงหวา : ‘มีพายุฝน คืนนี้คุณน้าของหนูคงไม่กลับมาแล้ว เข้านอนเร็วหน่อย’
ชีอิ้งในชาติที่แล้วไม่รู้หนังสือ
ทว่าหลังได้รับความทรงจำของร่างกายนี้กลับคืนมาแล้ว ความรู้ที่เธอไม่อาจจับต้องมาก่อนเหล่านั้นก็เหมือนจะสามารถรับรู้ได้เองโดยไม่ต้องมีใครสอน และทำให้เธอได้รู้จักกับโลกใบนี้ใหม่ทั้งหมด
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เธอเห็นโทรศัพท์มือถือก็ยังคงอดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาไม่ได้ สิ่งของที่เล็กขนาดนี้ไม่เพียงแต่ส่องสว่างได้เท่านั้น แต่ยังมีภาพที่ดูสมจริงราวกับมีชีวิตอีกด้วย ช่างน่ามหัศจรรย์มากจริงๆ
ชีอิ้งพยักหน้าให้น้าสะใภ้อย่างสงบเสงี่ยม
อู๋อิงหวาจึงค่อยๆ ปิดประตูห้องแล้วจากไป
ชีอิ้งทอดสายตามองนอกหน้าต่างต่อไป พายุฝนค่อยๆ รุนแรงขึ้น ต้นไม้ใหญ่ที่ข้างทางถูกพัดโหมจนเอนซ้ายเอียงขวา ไฟจากรถราที่สัญจรฝ่าฝนกะพริบถี่รัว ขับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า
ด้านนอกจะต้องหนวกหูมากแน่ๆ แต่เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
จะมีก็เพียงเสียงหึ่งๆ ดังอยู่ในหูเป็นบางครั้ง
เธอมาถึงโลกนี้ได้สองเดือนกว่าแล้ว
แรกเริ่มชีอิ้งนึกว่าเป็นความฝัน วันที่ได้รู้ข่าวว่าท่านแม่ทัพสู้ศึกตายในสนามรบ เธอพาดผ้าไหมขาวไว้กับขื่อห้อง ติดตามท่านแม่ทัพไปแล้วแท้ๆ
เธอยังจำความรู้สึกของการขาดอากาศหายใจและความเจ็บปวดก่อนตายได้ จำได้แม้กระทั่งในตอนที่แสงตะวันสีทองลับขอบฟ้าสาดลงบนต้นเหอฮวน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับกลายเป็นเด็กสาวหูหนวกอายุสิบเจ็ดคนนี้ กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ความทรงจำที่แปลกปลอมกวาดม้วนเธอราวกับกระแสน้ำ
เด็กสาวคนนี้ชื่อว่าชีอิ้งเหมือนกันกับเธอ ครึ่งปีก่อนสูญเสียพ่อแม่ไปจึงกินยานอนหลับด้วยความสิ้นหวัง หลังจากช่วยชีวิตกลับมาแล้ว แก่นข้างในก็เปลี่ยนคน
น่าจะเป็นเพราะการรับรู้ของร่างกายนี้ ทุกครั้งที่เธอหวนนึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ของเด็กสาวคนนี้ หัวใจก็เจ็บปวดราวถูกเข็มแทง บีบบังคับให้เธอต้องตัดขาดความทรงจำกลางคัน
ชีอิ้งคิดว่าเด็กสาวคนนี้จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าโศกมาก
เธอรับรู้มันได้จากความทรงจำ โลกใบนี้เดิมเป็นสถานที่แปลกหน้าสำหรับเธอจู่ๆ ก็พลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคยไปทั่วทุกที่
ครั้งแรกที่ได้เห็นโทรทัศน์เธอกลับไม่ประหลาดใจเลยสักนิด แต่สุดท้ายพอขึ้นเตียงนอนแล้ว ตอนนั้นเองค่อยรู้สึกอัศจรรย์ใจไล่หลัง
เธอก็เหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยนี้ มีเพียงอย่างเดียวที่เธอยังไม่สามารถปรับตัวได้คืออาการหูหนวกและสูญเสียเสียงพูดจากเหตุไม่คาดฝัน อีกทั้งเหตุไม่คาดฝันนี้ก็เป็นตัวการหลักที่ทำให้พ่อแม่เจ้าของร่างเดิมเสียชีวิต
พ่อของเจ้าของร่างเดิมเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด หลังเข้าบุกจับกุมคดีค้ายาแล้วเขาก็ถูกกลุ่มอาชญากรแก้แค้น อาชญากรลักพาตัวเจ้าของร่างเดิมและผู้เป็นแม่ไป ในระหว่างขั้นตอนช่วยเหลือตัวประกัน อาชญากรที่คลุ้มคลั่งก็จุดชนวนระเบิดขึ้น แม้กลุ่มอาชญากรจะต้องโทษประหารทั้งหมด แต่พ่อแม่เจ้าของร่างเดิมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียชีวิต มีแค่เจ้าของร่างเดิมที่รอดมาคนเดียว