หลังจัดการเรื่องงานศพเสร็จแล้ว เจ้าของร่างเดิมก็ได้อวี๋เฉิงน้าชายรับมาอาศัยอยู่ที่เมืองไห่เฉิง แต่เด็กสาวไม่สามารถยอมรับการเสียชีวิตของพ่อแม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะจากไป
ช่วงที่ชีอิ้งเพิ่งฟื้นขึ้นมา น้าชายกับน้าสะใภ้แทบจะเฝ้าเธออยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยกลัวว่าเธอจะทำเรื่องแบบนี้ซ้ำอีก จนกระทั่งจิตแพทย์ให้เธอทำแบบทดสอบ ผลปรากฏว่าสภาพทางจิตใจของเด็กสาวดีพร้อมแล้ว น้าชายจึงค่อยรับชีอิ้งจากสถานพักฟื้นกลับมาที่บ้าน
น้าชายดีต่อเธอ น้าสะใภ้ถึงจะอารมณ์ร้อนแต่ก็เป็นคนปากร้ายใจดี แม้แต่อวี๋จั๋วน้องชายจอมต่อต้านคนนั้นก็มักจะเคาะประตูเข้ามาคอยเฝ้าดูเธอทุกๆ หนึ่งชั่วโมง
นี่เป็นความใกล้ชิดฉันญาติพี่น้องที่ชีอิ้งไม่เคยได้รับมาก่อน
เธอเป็นเด็กกำพร้าในช่วงกลียุค เติบโตมาอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงท่ามกลางความไม่สงบของสงคราม ในปีที่อายุสิบสี่ขณะอพยพลี้ภัยก็ถูกโจรในภูเขาจับตัวขึ้นป้อมภูเขาไป เดิมทีเธอคิดจะกระแทกศีรษะให้ตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ไว้ ทว่าท่านแม่ทัพกลับมาเยือนดั่งเทพจากสวรรค์แล้วช่วยเธอออกมา
ท่านแม่ทัพสวมชุดเกราะสีดำขลับ นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าแผงคอสีดำ ถามเธอเสียงเรียบว่า ‘มีที่ไปหรือไม่’
เธอส่ายศีรษะทั้งน้ำตา ท่านแม่ทัพจึงโน้มตัวยื่นมือมาโอบรอบเอวอุ้มเธอพาดขวางขึ้นม้า นับแต่นั้นเป็นต้นมาจวนแม่ทัพก็กลายเป็นบ้านของเธอ
ท่านแม่ทัพยังไม่ได้สู่ขอภรรยาเอก จวนแม่ทัพที่ใหญ่โตมโหฬารจึงมีเธอเพียงแค่คนเดียว ท่านแม่ทัพรับเธอเป็นอนุภรรยา แม้จะรบทัพจับศึกตลอดปีไม่ค่อยได้กลับมา แต่เขาก็กำชับคนทุกระดับชั้นในจวนให้ปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี
เธอมอบทั้งใจและกายให้กับท่านแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น เธอได้ยินว่าราษฎรทั่วทั้งใต้หล้ายกย่องสรรเสริญเทพสงครามในดวงใจเธออย่างไร แต่นึกไม่ถึงว่าเทพสงครามก็มีวันที่สู้ศึกตายในสนามรบ
ท่านแม่ทัพเคยรักเธอหรือไม่
ชีอิ้งไม่รู้
แต่เธอรักท่านแม่ทัพ
ชีวิตของเธอเป็นท่านแม่ทัพที่ให้มา ท่านแม่ทัพตายแล้วเธอก็ไม่มีอะไรติดค้างในโลกนี้อีกต่อไป ได้แต่หวังว่าหลังจากตายแล้วจะโชคดีได้ฝังตามท่านแม่ทัพไป หากได้ตายร่วมหลุมก็นับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าสวรรค์ไม่เพียงไม่ยอมให้เธอตาย แต่ยังส่งโลกที่สงบสุขสวยงามปราศจากสงครามมาให้ด้วย ที่นี่อะไรก็ดีไปหมด เพียงแต่ไม่มีท่านแม่ทัพ
พายุฝนฟ้าคะนองดำเนินต่อไปอีกหลายวัน เมื่อฟ้าโปร่งโล่งหมดจดก็ห่างจากเปิดเทอมเพียงแค่สองวัน
ช่วงสั้นๆ ก่อนหน้านี้ อวี๋เฉิงน้าชายได้จัดการตามขั้นตอนย้ายโรงเรียนให้ชีอิ้งเรียบร้อยแล้ว เขาย้ายเธอที่เทอมนี้กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมปลายปีสองมาอยู่ที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับที่อวี๋จั๋วเข้าเรียนมัธยมปลายปีแรกด้วย
ชีอิ้งไม่รู้ว่าเธอควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดีเมื่อต้องเผชิญกับโลกที่ทุกอย่างแปลกใหม่และไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ทั้งรู้สึกลังเลและไม่แน่ใจ
กล่าวตามหลักการทั่วไป ชีอิ้งในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะไปเรียนหนังสือในโรงเรียนมัธยมปลายธรรมดา
ในเมื่อเธอไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ โรงเรียนคนหูหนวกดูจะเหมาะสมกับเธอมากกว่า แต่จิตแพทย์กลับแนะนำว่าสภาพแวดล้อมที่ปกติเหมาะสมต่อการฟื้นฟูและการรักษาของชีอิ้ง เธอจำเป็นต้องพบปะกับผู้คน และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอต้องการมิตรภาพจากคนในวัยเดียวกัน
อาการหูหนวกของเธอเกิดจากการบาดเจ็บภายนอก เข้ารับการรักษาไม่กี่ครั้งก็อาจฟื้นคืนได้ครบถ้วน แต่การสูญเสียความสามารถในการพูดเป็นบาดแผลที่เกิดจากความกระทบกระเทือนทางจิตใจ วิธีรักษาทางการแพทย์อาจช่วยได้ไม่มากนัก ทำได้เพียงค่อยๆ ขจัดอุปสรรคและฟื้นฟูไปอย่างช้าๆ
หลังเกิดเหตุพ่อของชีอิ้งก็ได้รับพิจารณาให้เป็นผู้พลีชีพ* ชีอิ้งจึงกลายเป็น ‘บุตรธิดาของผู้พลีชีพ’ มีเส้นสายจากทางตำรวจ ขั้นตอนในการย้ายเข้าเรียนของชีอิ้งจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย แม้แต่ครูใหญ่ก็ยังได้รับการกำชับเป็นพิเศษจากผู้นำของสำนักงานประจำเมือง พวกเขาหวังว่าบุตรธิดาของผู้พลีชีพจะได้รับการให้เกียรติและมิตรภาพจากที่นี่ เรื่องอย่างการข่มเหงรังแกและการปฏิบัติอย่างเพิกเฉยจะต้องไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด
เมื่อครูใหญ่รับทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาก็คัดเลือกครูประจำชั้นของมัธยมปลายปีสองอยู่หลายรอบว่าจะให้เธอไปอยู่ในความดูแลของห้องใด สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกมัธยมปลายปีสองห้องสองที่นักเรียนล้วนมีผลการเรียนดี สิ่งแวดล้อมในห้องดี นักเรียนเกเรน้อย เป็นห้องเรียนที่ภาพรวมดีเด่นและครูประจำชั้นเองก็มีความก้าวหน้าทางการสอนติดต่อกันมาสองปีแล้ว…
เลือกห้องสองต้องไม่เลวแน่!
หลิวชิ่งหวาครูประจำชั้นมัธยมปลายปีสองห้องสองถูกครูใหญ่เรียกไปจับเข่าคุยที่ห้องทำงานนานถึงหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็กำหมัดรับคำว่า ‘จะต้องทำให้นักเรียนชีอิ้งได้รับความอบอุ่นราวกับครอบครัวจากที่นี่ให้ได้!’