บทที่ 2
เพื่อนนักเรียนมัธยมปลายปีสองห้องสองรับทราบตั้งแต่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแล้วว่าเปิดภาคเรียนใหม่จะมีนักเรียนพิเศษย้ายมาที่ห้อง
หลิวชิ่งหวาครูประจำชั้นไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ของชีอิ้งอย่างเจาะจงชัดเจน แค่บอกนักเรียนเอาไว้ในกลุ่มแชตของห้องว่าพ่อของนักเรียนใหม่เป็นตำรวจท่านหนึ่งที่เสียสละเพื่อประชาชน มีเกียรติยศยิ่งใหญ่ นักเรียนใหม่เป็นบุตรธิดาของผู้พลีชีพ เป็นทายาทของวีรบุรุษ ทุกคนต้องให้ความช่วยเหลือและความรัก
ความยุ่งยากใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตปกติธรรมดาของเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่ในช่วงวัยแรกแย้มกลุ่มนี้ไม่พ้นเรื่องผลการเรียนการสอบ อาจจะเพิ่มความว้าวุ่นจากการแอบรักเข้าไปด้วย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปรู้จักกับคำศัพท์อย่าง ‘วีรบุรุษผู้พลีชีพ’ หลังจากตื่นตะลึงไปแล้วก็พากันส่งข้อความรับคำมาไม่หยุดหย่อนว่าจะรักและทะนุถนอมเพื่อนนักเรียนคนใหม่อย่างแน่นอน!
ช่วงเปิดเทอม บริเวณโรงเรียนเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
แม้ว่าชีอิ้งจะเตรียมสภาพจิตใจของตัวเองมานานแล้ว แต่แวบแรกที่เห็นว่ารอบตัวมีคนเยอะขนาดนี้ ถึงจะเตรียมตัวมาดีอย่างไรก็ยังปรับตัวไม่ได้
ชาติก่อนเธอระหกระเหินเร่ร่อนมาตั้งแต่เกิด ทั่วทุกหนแห่งพบเห็นการบาดเจ็บ ผู้คนทุกข์ยากแร้นแค้น ภายหลังอาศัยอยู่ลึกในจวนแม่ทัพ ข้างกายมีแค่สาวรับใช้สองสามคน ความทรงจำส่วนใหญ่จึงจืดชืดไร้ชีวิตชีวา โดดเดี่ยวอ้างว้าง
ความสนุกสนานเพียงอย่างเดียวที่นึกออกคือเทศกาลโคมไฟ* ท่านแม่ทัพกลับมาเมืองหลวงพอดี หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็พาเธอไปเดินเล่นที่ถนน จูงมือเธอท่ามกลางผู้คนที่เดินเบียดเสียดกระทบไหล่ ซื้อถังหูลู่** ให้เธอไม้หนึ่ง
น้ำตาลนั้นทั้งหวานทั้งเหนียว ทำให้ฟันของเธอติดหนึบ ท่านแม่ทัพถามเธอว่า ‘อร่อยหรือไม่’
เธออ้าปากไม่ได้ แอบกระดากอายกับตัวเองจึงได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะยื่นถังหูลู่ในมือตนเองออกไปอย่างลังเล ท่านแม่ทัพเพียงแต่ยิ้มแล้วส่ายศีรษะ ‘ซื้อให้เจ้า’
จู่ๆ เธอก็ถูกกระแทกจากด้านหลังอย่างแรง ตัวชีอิ้งโงนเงน ความทรงจำถูกขัดจังหวะ
นักเรียนชายกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านทางเดินไปราวกับสายลม ส่งเสียงด่าทอโหวกเหวกคนโน้นทีคนนี้ที อวี๋จั๋วประคองตัวชีอิ้งไว้ได้ก็ด่าใส่คนที่วิ่งชนโดยไม่หันมาขอโทษสักคำ “ไม่มีตาหรือไง!”
นึกไม่ถึงว่านักเรียนชายที่วิ่งรั้งท้ายจะได้ยินแล้วหยุดกึกก่อนจะหมุนตัวมา ดูท่าคิดจะต่อปากต่อคำกับอวี๋จั๋ว แต่เพิ่งจะเดินกลับมาได้สองก้าว เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงพวกพ้องตนเองตะโกนเรียก “ไอ้เบิ้มชวี! แกมัวอืดอาดอะไรอยู่ พี่รั่งกำลังรอพวกเราอยู่นะ!!”
นักเรียนชายที่ถูกเรียกว่าไอ้เบิ้มชวีชูนิ้วกลางใส่อวี๋จั๋ว แล้วหันตัววิ่งไป
อวี๋จั๋วชูนิ้วกลางกลับอย่างไม่ลดราวาศอก
เด็กชายใส่แว่นที่พิงระเบียงอยู่ข้างๆ เอ่ยปาก “เพื่อน…ฉันขอเตือนนายนะ อย่าไปยั่วคนอย่างนั้นจะดีกว่า”
อวี๋จั๋วตอนมัธยมต้นเป็นเด็กเกเร ไม่กลัวการก่อเรื่องแม้แต่น้อย ได้ยินคำเตือนก็เพียงแค่นหัวเราะ “ทำไมถึงยั่วไม่ได้ล่ะ”
เด็กชายใส่แว่นยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องปากก่อนจะบอกว่า “นั่นคือพวกที่อยู่กับจี้รั่งทั้งนั้นเลย”
อวี๋จั๋วเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ “จี้รั่ง? ไอ้เวรที่ไหน ไม่เห็นเคยได้ยิน”
รอบข้างที่วุ่นวายในชั่วขณะนั้นก็พลันสงบนิ่ง
เด็กชายใส่แว่นเหมือนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดจาอวดดีขนาดนี้ หลังจ้องปากอ้าตาค้างอยู่สักพักก็ส่งสายตาที่อ่านได้ว่า ‘หาความสุขใส่ตัวให้มากหน่อย’ ทิ้งไว้ให้อวี๋จั๋วก่อนจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
อวี๋จั๋วยังไม่รู้ว่าตัวเองไปแส่หาเรื่องอะไรเข้า หลังปัดเสื้อให้ชีอิ้งที่ยืนนิ่งสงวนท่าทีอยู่กับที่ก็จูงข้อมือของเธอพาไปส่งถึงห้องทำงานของครูประจำชั้น
หลิวชิ่งหวากำลังจัดระเบียบใบระเบียน เพิ่งเปิดมาถึงหน้าเอกสารของชีอิ้งพอดี นักเรียนหญิงในรูปขนาดหนึ่งนิ้วรวบผมเป็นทรงหางม้า เผยให้เห็นหน้าผากเกลี้ยงเกลาอิ่มเอิบ มุมปากเม้มเป็นวงโค้งตื้นบาง ดูแล้วทั้งเรียบร้อยน่ารักและสงบเสงี่ยม
พอได้ยินเสียงเรียกก็เงยหน้าขึ้นมาพบเข้ากับเด็กสาวที่สวยกว่าในรูปยืนอยู่ที่ประตูท่าทางเหนียมอาย
อวี๋จั๋วฝากชีอิ้งไว้กับหลิวชิ่งหวาแล้วจึงกลับห้องเรียนของตนเอง
หลิวชิ่งหวาพยายามสื่อสารกับชีอิ้งอยู่ในห้องทำงานของตนโดยใช้ท่าทางประกอบ มือที่ไขว้อยู่ข้างหลังของชีอิ้งสั่นระริก เธอพยายามทำความเข้าใจความหมายที่คนแปลกหน้าตรงหน้าถ่ายทอดให้
ครูประจำชั้นของห้องติดกันที่ยืนดูอยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “เหล่า* หลิว นี่คือนักเรียนพิเศษคนนั้นของห้องคุณเหรอ ทั้งไม่ได้ยินแล้วยังพูดไม่ได้อีก คุณทำท่าไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก”
สุดท้ายหลิวชิ่งหวาก็ยอมแพ้ เขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษสมุดให้เธออ่าน