ภายในเวลาเช้าเดียว ชั้นเรียนปีสองก็ลือกันไปทั่วแล้วว่าที่ห้องสองมีเด็กผู้หญิงหูหนวกหน้าตาสวยมากคนหนึ่งย้ายมา พ่อของเธอเป็นตำรวจที่เสียสละเพื่อประชาชน
แม้ว่าพวกเด็กผู้ชายปลายแถวจากห้องเก้าจะเพิ่งทะเลาะวิวาทกับนักเรียนเกเรของโรงเรียนอื่นมา แถมสองคนในนั้นยังมีแผลบนใบหน้าด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อการร่วมซุบซิบนินทาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้มีนักเรียนคนแล้วคนเล่าแวะไปที่ห้องสองเพื่อสำรวจนักเรียนพิเศษคนนั้น ไม่ทันไรนายเบิ้มชวีก็เดินสบถกลับมา “เวร! ไม่เห็นแม้แต่เส้นขน พวกหนอนหนังสือห้องสองมันใช้หนังสือปิดหน้าต่างเอาไว้ มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ”
ชื่อเดิมของนายเบิ้มชวีคือชวีเผิง เขามีรูปร่างใหญ่บึกบึนอย่างนักกีฬาทำให้ได้ชื่อนี้มา
“ทำไมจะไม่ต้อง” หลิวไห่หยางเตะเขาหนึ่งที “นั่นเป็นลูกของผู้พลีชีพ! จะให้แกมองส่งเดชได้ไง”
นายเบิ้มชวีไม่พอใจ “มองแค่ทีสองทีเนื้อก็ไม่ได้หลุดออกมาสักหน่อย”
ทางเดินด้านนอกมีเสียงโหวกเหวกดังลอดเข้ามา “ฉันมีรูปของนักเรียนพิเศษ! ใครอยากดูบ้าง”
ในห้องเรียนเกิดความโกลาหลอลหม่านไปชั่วขณะ “ฉันอยากดู! เอามาให้ฉันดู!”
ตรงมุมชิดหน้าต่างแถวสุดท้าย เด็กหนุ่มที่ฟุบอยู่บนโต๊ะเรียนถูกเสียงดังปลุกจนตื่น ศีรษะของเขาไม่ได้เงยขึ้น แต่เท้าเตะไปข้างหน้าแรงๆ หนึ่งที ม้านั่งแถวหน้าล้มลงบนพื้นดังตึงสองครั้ง ห้องเรียนพลันเงียบสงบลง
นายเบิ้มชวีทำท่าบอกหลิวไห่หยางให้เงียบ
แม้แต่พวกเด็กหนุ่มที่คลุกคลีกับเขายังเงียบเสียงเป็นจิ้งหรีดในฤดูหนาว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนคนอื่นที่หุบปากไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ผ่านไปพักใหญ่เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นในอากาศ “มีเกียรตินักเหรอ”
นายเบิ้มชวีสีหน้างุนงง “อะไรนะ พี่รั่งพูดว่าอะไรนะ”
เด็กหนุ่มที่ฟุบอยู่บนโต๊ะเรียนเงยหน้าขึ้นในที่สุด ลูกตาดำใต้ผมชี้ฟูที่กระเซอะกระเซิงเหมือนมีดคู่หนึ่ง เวลามองคนแล้วราวกับคมมีดกรีดผ่าน มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด “ฉันพูดว่า…เสียสละเพื่อประชาชนมีเกียรตินักเหรอ”
อยู่ข้างจี้รั่งมานานขนาดนี้ ถ้ายังไม่รู้สึกว่าเขากำลังอารมณ์ขุ่นมัวก็อยู่ด้วยกันเสียเปล่าแล้ว
ไม่มีใครกล้าต่อคำ
จี้รั่งหัวเราะโดยไร้เสียง แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนอีกครั้ง
จนกระทั่งเลิกเรียน แถวหลังของห้องที่ปกติจะเอะอะเสียงดังกันตลอดก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก ทำเอาแม้แต่ครูเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมวันนี้นักเรียนเกเรกลุ่มนี้ถึงเชื่อฟังดี
เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนเพิ่งจะดังขึ้น ลั่วปิงจากห้องแปดก็วิ่งทะลวงเข้ามาในห้อง “พี่รั่ง! เมื่อกี้ไอ้เด็กแซ่หลี่รายงานว่าปีหนึ่งมีนักเรียนใหม่ด่าพี่ว่าไอ้เวร!”
จี้รั่งยังคงนอนฟุบหน้าไม่ตอบสนองใดๆ แต่คนข้างๆ จำนวนหนึ่งนั่งไม่ติดที่แล้ว
“เชี่ย! ไอ้งั่งที่ไหนมันบ้าขนาดนี้”
“แม่งเอ๊ย ไอ้สารเลว!”
“ไม่ตีสักวันเด็กมันจะเสียคน นักเรียนใหม่รุ่นนี้บ้าดีเดือดแฮะ”
จี้รั่งลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน หยิบเสื้อนักเรียนขึ้นพาดบ่า “พามันไปที่ตรอกซีถ่า”
ลั่วปิงรับคำสั่ง สะบัดหน้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เปิดเทอมวันแรก ความจริงได้เรียนกันแค่ไม่กี่คาบ ส่วนใหญ่ก็รับการบ้าน แจกหนังสือใหม่ ปรับเปลี่ยนที่นั่ง จนตอนบ่ายถึงได้เรียนวิชาภาษาและวรรณคดีหนึ่งคาบและคณิตศาสตร์อีกหนึ่งคาบ
ชาติก่อนชีอิ้งไม่รู้หนังสือ ภายหลังเข้าจวนแม่ทัพแล้วเธอก็ทำได้แค่เขียนชื่อตัวเอง แต่มาตอนนี้เธอมีความทรงจำของร่างกายนี้หลงเหลืออยู่จึงกลายเป็นคนมีความรู้ในทันใด ช่างน่าปลาบปลื้มใจเสียจริง
ผลการเรียนของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่แย่ เมื่อก่อนอันดับอยู่ที่สิบคนแรกของระดับชั้น ชีอิ้งมองดูสูตรและรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ ในหนังสือคณิตศาสตร์ก็พลันเข้าใจความหมายของมันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แม้จะไม่ได้ยินที่ครูสอน แต่เธอก็ยังลอกโน้ตบนกระดานอย่างตั้งใจ
ชีอิ้งรู้ดี ไม่ว่าจะสมัยไหนผู้คนต่างก็ชื่นชอบบุคคลมีการศึกษา มาตอนนี้ไม่ง่ายกว่าจะได้โอกาสในการเรียนหนังสือ ได้รับความเท่าเทียมและอิสรเสรีเหมือนเด็กผู้ชาย จึงยิ่งรักถนอมเป็นหลายเท่าตัว
เยวี่ยหลีจดโน้ตเบียดชิดติดกันทั่วทั้งหน้ากระดาษ พอมองสมุดของชีอิ้งแล้วในชั่วขณะก็รู้สึกว่าตนเองถูกฆ่าเรียบ
เธอส่งแผ่นกระดาษเล็กๆ ให้ชีอิ้งอย่างละอายใจในตัวเอง
‘อิ้งอิ้ง สมุดโน้ตของเธอเป็นระเบียบจัง ให้ฉันยืมลอกหน่อยได้ไหม’
ชีอิ้งรู้สึกว่าแม้แต่พรสวรรค์ในการเรียนของร่างกายนี้เธอก็น่าจะได้รับสืบทอดมาด้วย จึงให้อีกฝ่ายยืมสมุดโน้ตอย่างใจกว้าง
หลังเลิกเรียนอวี๋จั๋วก็มารับเธอ
ชีอิ้งโบกมือลาเพื่อนนักเรียนที่อยู่รอบๆ ทีละคน แล้วค่อยสะพายกระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องในที่สุด
เพิ่งจะเดินไปถึงประตูโรงเรียน หยางซินหย่วนเพื่อนพ้องของอวี๋จั๋วก็วิ่งรี่มาหา พูดด้วยลมหายใจหอบรัว “เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าจี้รั่งส่งคนมาอัดนาย นายรีบหนีไปเร็ว!”
“จี้รั่งไหน”
“คนที่นายด่าว่าไอ้เวรนั่นไง! ขาใหญ่แห่งมัธยมไห่เฉิงหมายเลขหนึ่ง!”
อวี๋จั๋วสีหน้าเปลี่ยนไป แต่เขาไม่ได้กลัวขาใหญ่ในตำนานคนนี้ แค่ว่าตอนนี้ชีอิ้งอยู่ด้วย ถ้าหากว่าชีอิ้งผมหายไปแม้แต่เส้นเดียวล่ะก็…เขากลัวว่าจะโดนพ่อถลกหนังเอาได้
ไม่ไกลออกไป ลั่วปิงพาคนเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางขู่เข็ญคุกคาม
อวี๋จั๋วผลักชีอิ้งไปอยู่ข้างหยางซินหย่วนทันที “นายพาพี่สาวฉันไปที่ร้านชานมชีหลี่เซียงก่อน เดี๋ยวสักพักฉันจะตามไป”