จากนั้นพวกเขาก็เห็นลูกพี่ขาใหญ่โรงเรียนหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปคำหนึ่งเข้าปาก ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
นักเรียนทั้งโรงเรียนได้แต่นิ่งอึ้ง
นายเบิ้มชวีใช้ช้อนเคาะโต๊ะแรงๆ “มองอะไรกัน ไม่กินก็ไสหัวไป!”
สายตาจากผู้คนรอบด้านพากันถอนออกไปอย่างรวดเร็ว โรงอาหารกลับมามีเสียงพูดคุยอีกครั้ง เยวี่ยหลีสาวเท้าก้าวไปนั่งลงตรงที่ว่างอย่างลำบากใจ จ้องตากันปริบๆ กับเพื่อนร่วมห้อง
หวงป๋อทงกรรมการนักเรียนถามว่า “เรื่องอะไรกันเนี่ย”
เยวี่ยหลีงงงัน “ไม่รู้เลย”
เฉินเมิ่งเจี๋ยพูดขึ้นมาอย่างครุ่นคิด “บางที…จี้รั่งอาจมีความอดทนต่อนักเรียนใหม่มากหน่อยมั้ง”
ก็จริง…อย่างไรเสียเมื่อวานนี้เขาก็ช่วยชีอิ้งไว้ ดูท่าแล้วเพื่อนนักเรียนจี้จะยังเป็นมิตรและมีเหตุผลอยู่
ทางอีกฝั่งนั้น เพื่อนนักเรียนจี้ที่ทั้งเป็นมิตรและมีเหตุผลกินซุปไปสองสามคำ มือที่ถือช้อนอยู่ก็ค่อยๆ กำแน่นขึ้น ก่อนจะขู่เสียงเบาใส่ชีอิ้งเสมือนว่าเธอได้ยินที่เขาพูด “เตือนเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย”
นายเบิ้มชวียื่นศีรษะเข้าไป “หือ? พี่รั่งว่าอะไรนะ”
“ไสหัวไป!”
“…อ้อ”
ชีอิ้งที่ก้มหน้ากินข้าวอยู่เห็นความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามจากทางหางตาจึงเงยหน้าขึ้นพลันสบเข้ากับสายตาเย็นเยียบของเด็กหนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว
ท่านแม่ทัพดูดุจังเลย…อาหารไม่อร่อยงั้นหรือ
เธอทอดสายตามองไปบนถาดอาหารของเขา ข้างในนั้นมีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่เยวี่ยหลีบอกว่าอร่อยที่สุดอยู่แท้ๆ
แปลกมาก
ชีอิ้งคิดแล้วหยิบช้อนที่ยังไม่ได้ใช้งานตักลูกชิ้นปลาในถาดอาหารของตนเองขึ้นมาลูกหนึ่งก่อนจะยื่นไปวางลงในถาดอาหารของจี้รั่ง
“…”
ชีอิ้งขยับปากพูดโดยไม่มีเสียง “อันนี้อร่อย”
“…”
เขาอ่านปากออก
ดวงตาของเธอใสบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เหมือนกับกำลังบอกเขาว่า ‘นายชิมสักคำสิ’
จี้รั่งนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเยาะ เขาใช้ตะเกียบเขี่ยลูกชิ้นปลาไปอีกทาง ทำเหมือนพูดกับตัวเองว่า “แถมยังได้คืบจะเอาศอกอีก”
เขาไม่ได้กินลูกชิ้นปลาลูกนั้น ขนาดข้าวก็ยังกินไม่เสร็จแต่ลุกจากไปแล้ว
พวกนายเบิ้มชวีเช็ดปากแล้วรีบตามไป
ชีอิ้งมองดูแผ่นหลังของเขา ในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมา
ท่านแม่ทัพในชาตินี้เข้าหายากอย่างกับทั่วทั้งตัวเป็นเสี้ยนหนาม
เธอก้มหน้าลงและยัดข้าวเข้าปากอย่างไร้รสชาติ
พอจี้รั่งออกไปแล้ว เยวี่ยหลีถึงได้กล้าเข้ามาหาชีอิ้ง คราบมันที่มุมปากยังไม่ทันเช็ดให้สะอาดก็พิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นให้ชีอิ้งอ่าน
เยวี่ยหลี : ‘อิ้งอิ้ง เธอรู้หรือเปล่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจี้รั่งไม่กินข้าวร่วมโต๊ะกับคนอื่น คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาคนล่าสุดถูกเขาต่อยจนฟันร่วงสองซี่!’
ชีอิ้งตกตะลึง เอามือป้องปากตัวเองอย่างเพิ่งนึกกลัวขึ้นมา
ขอโทษด้วย เธอกล่าวโทษท่านแม่ทัพผิดไปแล้ว!
ท่านแม่ทัพไม่ได้เข้าหายากเลยสักนิด ถึงขนาดยังยั้งมือไว้ไมตรีต่อเธอด้วยซ้ำ!
เมื่อเข้าเรียนในช่วงบ่าย ทั่วทั้งโรงเรียนก็รู้เรื่องที่วันนี้ลูกพี่ขาใหญ่ของโรงเรียนกินอาหารร่วมโต๊ะกับนักเรียนพิเศษ คนในชนชั้นมีอิทธิพลจะทำอะไรก็เป็นที่ซุบซิบนินทาในระหว่างคาบเรียนอันน่าเบื่ออยู่แล้ว
ในห้องน้ำหญิงมีเด็กผู้หญิงสองสามคนกำลังคุยซุบซิบกันอย่างร้อนแรง
“เมื่อวานนี้ลูกพี่เป็นผู้กล้าช่วยสาวงาม วันนี้ก็กินข้าวด้วยกัน นี่ใช่จังหวะของความรักหรือเปล่านะ!”
“เป็นไปไม่ได้น่า! ขนาดเซวียม่านชิง จี้รั่งยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แล้วจะไปมองคนหูหนวกอย่างนั้นได้ยังไง”
“แต่นักเรียนพิเศษสวยกว่าเซวียม่านชิงนะ”
“จี้รั่งไม่ได้เป็นเกย์เหรอ”
“…”
“เฮ้ยๆๆ พวกเธออย่ามาจ้องฉันนะ ฉันไม่ได้พูดเอง! ลับหลังทุกคนก็พูดอย่างนี้กันทั้งนั้น บอกว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับผู้หญิง ไม่รับการสารภาพรักใดๆ ทั้งสิ้น ได้ยินว่าเซวียม่านชิงก็ถูกเขาปฏิเสธมาสามสี่หนแล้ว…”
ประตูห้องน้ำเปิดออกส่งเสียงดังแอ๊ด
เซวียม่านชิงเดินออกมาจากข้างในด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก นักเรียนหญิงสองสามคนที่กำลังคุยซุบซิบนินทาจึงจากไปโดยไว
เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ใกล้จะเลิกเรียนอวี๋จั๋วก็ส่งข้อความหาชีอิ้ง
อวี๋จั๋ว : ‘พี่ วันนี้ผมทำเวร พี่รอผมที่ห้องแป๊บนะ’
ชีอิ้ง : ‘ได้’
อวี๋จั๋ว : ‘ได้ยินว่าวันนี้พี่กินข้าวโต๊ะเดียวกันกับจี้รั่งเหรอ พี่อย่าเข้าใกล้เขาได้ไหม เขาไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ’
คราวนี้ชีอิ้งไม่สนใจเขา
เยวี่ยหลีคัดลอกโน้ตในสมุดของชีอิ้งเสร็จแล้วก็เขียนข้อความบอกลาเธอ
‘อิ้งอิ้ง ฉันไม่รอเธอนะ พรุ่งนี้มีสอบฟังเขียนคำศัพท์ของหน่วยที่หนึ่ง ฉันต้องรีบกลับไปทบทวนเร็วหน่อย!’