ชีอิ้งพยักหน้า แม้ว่าเธอจะร่วมสอบฟังเขียนของวันพรุ่งนี้ไม่ได้ แต่ก็ยังหยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาเริ่มต้นทบทวน เกือบหนึ่งชั่วโมงให้หลังถึงได้ข้อความวีแชตจากอวี๋จั๋วบอกให้เธอไปรอเขาที่พุ่มไม้ประดับนอกตึกเรียน
ชีอิ้งเก็บกระเป๋านักเรียนเรียบร้อยแล้วจึงโบกมือให้เพื่อนที่ยังทำความสะอาดอยู่ในห้องก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป
ขณะลงบันได นักเรียนเจ็ดแปดคนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุม ในกลุ่มนั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างพากันหัวเราะคิกคักและขวางอยู่ตรงทางเดิน หนึ่งในนั้นถามเธอว่า “เฮ้ย นางใบ้ เลิกเรียนแล้วเหรอ”
ชีอิ้งไม่ได้ยินเสียง แต่รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มไม่เป็นมิตรของพวกเขาจึงนิ่วหน้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
คนรอบข้างล้อมเข้ามา กั้นเธอไว้ตรงกลาง
นักเรียนหญิงที่เป็นหัวโจกผลักเธอทีหนึ่ง “พูดก็พูดไม่ได้ยังอ่อยผู้ชายขนาดนี้ ถ้าเกิดพูดได้ขึ้นมา คงไม่ใช่จะปั่นนักเรียนชายทั้งโรงเรียนจนหัวหมุนกันหมดหรอกนะ”
นักเรียนชายสองสามคนหัวเราะลั่น “อย่าเพ้อเจ้อน่า ใครมันจะไปชอบคนพิการที่ทั้งหูหนวกทั้งเป็นใบ้อย่างนี้ลง”
นักเรียนที่ทำความสะอาดทางเดินอยู่มองมาสองสามที นักเรียนชายร่างสูงใหญ่ที่เป็นหัวโจกก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องนะเว้ย!”
สายตาทั้งหลายเหล่านั้นถอนกลับไปอย่างรวดเร็ว ชั้นนี้ทั้งชั้นเป็นห้องเรียนของปีสอง เวลานี้แทบจะว่างเปล่าโหวงเหวง ชีอิ้งไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร ทั้งยังสลัดไม่หลุด ร้อนใจจวนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
ขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง สายตาก็กวาดไปเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเดินลงมาจากบันได ดวงตาสว่างวาบทันใด
จี้รั่ง!
คนที่ล้อมขวางทางเธอก็เห็นแล้ว บนใบหน้าเหล่านั้นฉายแววตื่นกลัวทันใด ขณะที่พวกเขากำลังลนลาน จี้รั่งก็เดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองราวกับว่าตรงนี้ไม่มีคนอย่างไรอย่างนั้น
คนเหล่านั้นถอนใจโล่งอก ประกายแสงในดวงตาของชีอิ้งพลันหม่นลง
หนึ่งในนักเรียนชายหัวเราะเยาะ ยื่นมือไปลูบหน้าเธอ “ก็นะ หน้าตาแบบนี้ พอทำสีหน้าน่าสงสารขึ้นมา ก็ดูอ่อยจริงๆ แหละ”
อยู่ๆ ชีอิ้งก็ผลักเขาอย่างแรงหนึ่งที
เธอยืนนิ่งเงียบเรียบร้อยปล่อยให้พวกเขารังแกมาตลอด อยู่ๆ พอใช้กำลัง นักเรียนชายคนนั้นเองก็คาดไม่ถึง เขายืนอยู่บนขั้นบันได พอศูนย์ถ่วงน้ำหนักไม่สมดุลก็หน้าหงายไปข้างหลัง ส้นเท้าสะดุดกับขั้นบันได ล้มลงไปแรงมาก
คนเหล่านั้นต่างตะลึงงัน นักเรียนชายที่ล้มลงไปส่งเสียงด่าทอดังลั่น เกิดโมโหสุดขีดรีบลุกขึ้นมาเงื้อมือจะตบไปที่ใบหน้าของชีอิ้ง
แขนที่ยกขึ้นกลางอากาศพลันถูกบีบไว้
นักเรียนชายหันกลับไปด่าด้วยความขุ่นเคือง “เวรเอ๊ย! แก…” เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างหลังแล้วเขาก็ได้แต่ฝืนกลืนถ้อยคำที่เหลืออยู่กลับลงไปในคอราวกับเห็นผี
จี้รั่งที่สีหน้าเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็งยืนอยู่ด้านหลัง นิ้วมือเรียวยาวบีบแขนของนักเรียนชายจนแทบหัก เหวี่ยงนักเรียนชายคนนั้นไปด้านหลัง ท่ามกลางสีหน้าเจ็บปวดนั้น เขากล่าวเพียงแค่คำเดียวว่า “ไสหัวไป”
นักเรียนเกเรกลุ่มนี้ก็แยกย้ายแตกกระเจิงไป
น้ำตาที่เดิมทีชีอิ้งได้แต่กลั้นเอาไว้ร่วงออกมาทันใด
จี้รั่งก้มหน้ามองเธอ บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าเหลืออด “ร้องอะไร! ไม่ใช่ว่ากลับมาแล้วหรือไง”
เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม
เขาล้วงซ้ายควักขวา ในกระเป๋าเสื้อไม่มีอะไรเลย สุดท้ายก็หยิบหนังสือเลขออกมาจากกระเป๋านักเรียน ฉีกออกมาหนึ่งหน้าแล้วขยำเป็นก้อน พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบทำให้กระดาษนิ่มลงแล้วค่อยยื่นให้ชีอิ้ง “เลิกร้องได้แล้ว คนอื่นมาเห็นจะนึกว่าฉันรังแกเธอนะ”
ชีอิ้งรับกระดาษที่ยับยู่ยี่ไปเช็ดน้ำตาที่หางตา
จี้รั่งก็ถามขึ้นว่า “แล้วน้องชายจอมกร่างของเธอล่ะ ทำไมไม่มารับ”
ชีอิ้งเม้มริมฝีปาก มองเขาทั้งขอบตาแดงก่ำ
จี้รั่งทนสายตาแบบนี้ไม่ได้
เขาถอนสายตา ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปดึงเอากระเป๋านักเรียนของเธอมาหิ้วไว้แล้วเดินลงไปข้างล่าง ชีอิ้งรีบตามไป แต่เดินไปได้สองก้าว จี้รั่งก็หันกลับไปมองอีกฝ่าย
เธอคว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้ตามคาด
ปลายนิ้วขาวเปล่งประกายจับมุมชายเสื้ออย่างระมัดระวังเหมือนกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ เรี่ยวแรงเบาจนแทบจะไม่รู้สึก
พอสังเกตเห็นสายตาของเขา ชีอิ้งก็คลายนิ้วอย่างลังเลก่อนจะปล่อยออก
จี้รั่งชะงักฝีเท้า หาแขนเสื้อของเสื้อนักเรียนที่พาดอยู่บนไหล่ของตนออกมา ส่งยื่นไปข้างหลัง
เขาเอ่ยอย่างหมดความอดทน “เอาไปจับ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 65)