“ผมรู้ ผมแค่ชอบรุ่นพี่ ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้ ขอโทษครับที่ล้ำเส้น”
“เพราะฉะนั้นอย่าเข้ามายุ่งอีก ไม่ได้รู้สึกขอบคุณหรอกนะ”
ซงอาถอนสายตาเย็นชาออกจากฮยอนซึง หันหน้าไปทางประตู มือจับลูกบิดแต่กลับไม่ยอมขยับเขยื้อน เธอหันมองแจชินผ่านช่องมู่ลี่อีกครั้งด้วยหยาดน้ำเอ่อคลอเต็มสองตา ทว่าภาพที่แจชินจุมพิตหน้าผากฮโยจูก็ทำให้น้ำตาร่วงลงอาบแก้มเป็นสาย สติของซงอาค่อยๆ หลุดลอย
“รุ่นพี่!”
ฮยอนซึงนึกว่าซงอาเป็นคนใจแข็งจึงได้เลือกวิธีโหดร้าย เนื่องด้วยเวลาเจอปัญหาระหว่างทำงานเธอมักเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญไม่มีหวั่นไหว แต่ตอนนี้เขาชักเสียใจที่ตัดสินเธอไปแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะถึงขนาดเป็นลมล้มพับ ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ เขาน่าจะใช้วิธีค่อยๆ อธิบายเอามากกว่า
“ผมขอโทษ”
ฮยอนซึงเฝ้าสังเกตอาการของหญิงสาวที่นอนพักอยู่บนโซฟาในห้องประธาน ก่อนจะออกมาข้างนอกเพื่อสงบสติอารมณ์ จีซึงคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี เห็นเขาเข้าจึงเดินมาหา
“ฟื้นแล้วเหรอ”
“ยัง”
ซงอาสลบไปเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
“ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาลเหรอ”
“สถานการณ์เมื่อกี้ไม่สะดวก”
แจชินยังอยู่ด้านนอก ฮยอนซึงเลยพาซงอาออกไปไม่ได้ เธอยังหายใจเป็นปกติ นับว่าอาการไม่ฉุกเฉินถึงขนาดนั้น
“คงตกใจมากจริงๆ พี่บอกแล้วว่าวิธีนี้แรงเกินไป”
ฮยอนซึงจำต้องเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้พี่สาวฟังเพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเธอ แม้จีซึงจะคัดค้านวิธีที่เขาจะใช้ในวันนี้อย่างไร จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ
“นั่นสิ ผมน่าจะฟังพี่”
ฮยอนซึงยิ้มอย่างหดหู่ เขาดูเศร้าใจ จีซึงยิ้มบาง มองน้องชายนิ่งนาน
“ชอบเค้ามากเลยสินะ”
“ตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน”
ฮยอนซึงมองไปทางห้องประธานที่ซงอานอนพักอยู่อีกครั้ง พอเธอหมดสติ เขาก็ปิดมู่ลี่จนทึบสนิททำให้มองสภาพด้านในไม่เห็น
“ว่าแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเลย สงสัยจะถูกเกลียดซะก่อน ผมคงติดอยู่ในความทรงจำที่น่าหวาดกลัวไปตลอดกาล เธอต้องเกลียดผมด้วยแน่”
หากทำเป็นไม่รู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบจะดีกว่าไหมนะ จากนั้นค่อยหาทางแทรกซึมเข้าไปแบบเนียนๆ ตอนเธอเจ็บปวด บางทีการอยู่เคียงข้างเธอเหมือนคนไม่รู้อะไรเลยอาจเป็นวิธีที่ถูกต้องกว่าก็ได้ แต่ต่อให้ฮยอนซึงย้อนเวลากลับไปใหม่ เขาก็คงเลือกวิธีนี้อีก เพราะทนเห็นซงอาเจ็บปวดโดยไม่ทำอะไรไม่ได้
“ตอนนี้คงเป็นตามนั้นแหละ แต่สักวันผู้หญิงคนนั้นจะมองเห็นความจริงใจของเธอได้เอง”
อื้ม ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ช่างเถอะพี่ ขอแค่วันนั้นมาถึงผมแน่ๆ ก็พอ