Taking a chance on love เปิดใจให้ได้รัก
ทดลองอ่าน Taking a chance on love เปิดใจให้ได้รัก บทที่ 2
บทที่ 2 คู่อาฆาต
ตกค่ำเมื่อกลับถึงบ้านเจียงเหม่ยซีก็พบว่าหน้าต่างบานนั้นของตึกฝั่งตรงข้ามสว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอนึกว่าตัวเองมองผิดไป ขณะที่กำลังนับชั้นใหม่อีกรอบเพื่อความมั่นใจเงาร่างสูงผอมก็ปรากฏในสายตา
เยี่ยสวี่สวมเสื้อยืดเนื้อบางกับกางเกงลำลองขายาวตัวหลวมโพรก ภาพลักษณ์นั้นแตกต่างจากตอนที่สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กส์เมื่อตอนสอบสัมภาษณ์โดยสิ้นเชิง ทว่ากลับดูไม่ต่างไปจากตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้เลย แต่ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหนก็ล้วนเหมาะกับเขามาก
ชายหนุ่มวนเวียนอยู่ภายในห้องสักพัก…ด้วยความที่อยู่ในระยะไกล ถึงแม้เจียงเหม่ยซีจะมองเห็นไม่ชัดนัก แต่อาศัยภาพฉากและการเคลื่อนไหวอันพร่ามัวก็สามารถเอามาวาดเสริมเติมแต่งในหัวจนสมบูรณ์ได้…ดื่มน้ำ ถอดนาฬิกาข้อมือ ดูโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อยืด แนวกล้ามเนื้ออันสวยงามพลันเผยออกมาอยู่ในสายตาของเจียงเหม่ยซี
เจียงเหม่ยซีไม่ทันได้ระวัง เธอที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพอดีก็สำลักออกมา หลังจากไอโขลกอย่างรุนแรงอยู่นานพอเงยหน้ามองฝั่งตรงข้ามอีกครั้งก็เห็นเยี่ยสวี่กำลังปลดเข็มขัด…
เธอรีบละสายตาอย่างร้อนตัว อดไม่ได้ที่จะลอบด่าเยี่ยสวี่ในใจว่านิสัยชอบโชว์ถอดเสื้อผ้าไม่เคยปิดม่านนี่เมื่อไรจะเปลี่ยน แต่ในหัวก็ปรากฏภาพบางอย่างในคืนนั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เศษเสี้ยวเล็กๆ ในความทรงจำค่อยๆ ปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ตามด้วยเสียงเบาๆ ที่ดังออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ…มองสักหน่อยจะเป็นไรไป ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น
ทว่าในตอนที่เธอโน้มน้าวให้ตัวเองเคลื่อนสายตากลับไปยังหน้าต่างฝั่งตรงข้ามบานนั้นอย่างยากลำบาก หน้าต่างที่เดิมทีมีไฟสว่างไสวก็มืดสนิทไปเสียแล้ว
ทำอะไรรวดเร็วจริงๆ!
เช้าวันต่อมา เจียงเหม่ยซีเพิ่งถึงบริษัทก็เห็นพนักงานหญิงที่เข้าบริษัทมาได้สองปีกำลังส่องกระจกทาลิปสติกอยู่ เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าเข้าทำงานแล้วจะแต่งหน้าไม่ได้ แต่พนักงานหญิงคนนี้เป็นหนึ่งในหญิงสาวจำนวนน้อยในบริษัทที่ไม่ค่อยแคร์ภาพลักษณ์นัก
พนักงานหญิงคนดังกล่าวเพ่งความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ปากของตัวเอง ไม่ได้ตื่นตัวเหมือนอย่างทุกวัน จนกระทั่งเจียงเหม่ยซีเดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายถึงได้สังเกตเห็นเธอก่อนจะรีบเก็บลิปสติกและกระจกมือไม้เป็นพัลวัน
เจียงเหม่ยซีอยากจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินผ่านไป แต่ตอนที่เดินไปถึงตรงหน้าพนักงานหญิงเธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลงแล้วกล่าวเตือน “ทาลิปเลอะออกมาข้างนอกแล้ว”
เธอเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็นิ่งอึ้งไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่นานนักก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง ช่างเถอะ…นานขนาดนี้แล้วเธอยังไม่ชินอีกหรือไง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเจียงเหม่ยซีจึงไม่พูดอะไร และเดินไปยังห้องทำงานของตน
ตอนที่ใกล้จะถึงประตูห้องทำงานเธอพบกับเยี่ยสวี่ที่เพิ่งออกมาจากห้องทำงานของลู่สืออวี่
เจียงเหม่ยซีขมวดคิ้ว ทำไมเขาถึงออกมาจากห้องทำงานของลู่สืออวี่กัน ถ้าข่าวกรองไม่ผิดพลาด ตอนนี้พวกเขาสองคนน่าจะยังไม่มีโปรเจ็กต์อะไรที่ต้องทำร่วมกัน…ดูท่าว่ายังมีคนไม่ถอดใจสินะ
เจียงเหม่ยซีมองไปยังหน้าต่างกระจกใสด้านหลังเยี่ยสวี่แวบหนึ่ง ลู่สืออวี่กำลังนั่งเอนอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารอย่างเกียจคร้านยิ้มทักทายเธอ
เธอทำเป็นมองไม่เห็น สายตากลับมาตกอยู่บนใบหน้าของเยี่ยสวี่อีกครั้ง น้ำเสียงตอนที่เอ่ยปากเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าตอนเตือนพนักงานหญิงเมื่อครู่ไม่รู้กี่เท่า “เลขาฯ หลินจยาบอกหรือยังว่าพรุ่งนี้ต้องไปตรวจสอบบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์* ที่หนานจิง”
“ผมทราบแล้ว” เยี่ยสวี่ตอบรับ
“ในเมื่อทราบแล้ว ช่วงเช้าไม่มีอะไรทำหรือไง รู้จักแบ็กกราวนด์ของบริษัทนั้นดีแล้วเหรอ การดำเนินกิจการของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์เทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ แล้วมีลักษณะพิเศษอะไรบ้างรู้ไหม สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมเป็นยังไง ลักษณะเฉพาะทางเทคนิคมีผลกระทบต่อสภาพทางการเงินหรือเปล่า”
ภายใต้สถานการณ์ปกติ สิ่งเหล่านี้ที่เจียงเหม่ยซีพูดสามารถทำให้พนักงานที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วันลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่ตอนที่เธอวางมาดเจ้านายรอดูเยี่ยสวี่หงอให้นั้นอยู่นั้น เยี่ยสวี่กลับตอบด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าเธอ “เมื่อวานตอนเย็นก่อนเลิกงานผมส่งอีเมลรายงานคุณไปแล้ว ซึ่งรวมเรื่องพวกนั้นที่คุณพูดถึงเมื่อกี้ด้วย ถ้าเมื่อวานตอนเย็นคุณกลับช้าอีกสักนิด หรือไม่วันนี้มาถึงเช้ากว่านี้สักสองสามนาทีก็น่าจะเห็นอีเมลฉบับนั้นแล้วนะครับ”
เจียงเหม่ยซีกวาดสายตามองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนังทันที เก้าโมงสองนาที เขากำลังบอกเป็นนัยว่าเธอมาสายอย่างนั้นเหรอ
นี่ทำให้เธอรู้สึกอับอายนิดหน่อย เพราะไม่ต้องหันหน้าไปก็รู้ว่าข้างหลังมีสายตากี่คู่กำลังจ้องมองพวกเราที่อยู่ทางนี้
แต่เจียงเหม่ยซีเป็นใครล่ะ เธอสบตากับเยี่ยสวี่ไม่กี่วินาทีแล้วยิ้มออกมา ในเมื่อทุกคนต่างเข้าใจว่าเธออยากจะอาศัยโปรเจ็กต์ IPO นี้จัดการกับเขา ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่คงไม่ถึงกับจัดการให้ถึงตาย แค่อบรมสั่งสอนเด็กบ้านี่ด้วยความรักนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ
ดังนั้นเธอจึงเอ่ยว่า “ดูท่าทางนายจะกระตือรือร้นกับโปรเจ็กต์นี้ดีนะ ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก พวกเรายังมีเวลาอีกนาน”
เยี่ยสวี่ที่ถูก ‘ข่มขู่’ ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “น้อมรับบัญชาครับ”
เจียงเหม่ยซีเพิ่งจะนั่งลงที่โต๊ะทำงานก็ได้รับข้อความจากมู่ตี๋
‘น้าเล็ก หนูถามน้าหน่อยได้ไหม น้ากับเยี่ยสวี่ตกลงว่ามีเรื่องบาดหมางอะไรกันแน่ มีความแค้นฆ่าพ่อกันเหรอ เมื่อกี้ตอนที่จ้องหน้ากันไม่กี่วิฯ นั่น หนูเหมือนเห็นประกายไฟสว่างวาบเลย!’
เจียงเหม่ยซีพิมพ์ตอบกลับไป
‘ตาเธอตายยังไง เธอไม่รู้เหรอ?’
‘งั้นน้ากับเขาที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน ทำไมความสัมพันธ์ถึงได้ตึงเครียดขนาดนั้นล่ะ’
‘เธอรู้ข่าวซุบซิบมาเยอะไม่ใช่หรือไง’
‘น้าหมายถึงข่าวลือที่ว่าเยี่ยสวี่อ่อยน้าไม่สำเร็จก็เลยยั่วโมโหน้าน่ะเหรอ หนูมีสมองนะ ไม่เชื่อหรอก!’
เจียงเหม่ยซีเห็นข้อความของมู่ตี๋ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
‘ทำไมล่ะ’
‘ถึงเมื่อก่อนเราสองคนจะไม่ได้สนิทกัน แต่เขาเป็นคนดังของมหา’ลัยเรานะ เพราะงั้นเรื่องของเขาหนูก็พอรู้มาบ้าง สาวสวยๆ ที่ตามจีบเขาตลอดสี่ปีในมหา’ลัยมีนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่แม้แต่จะมองสักแวบ…อีกอย่างหนูได้ยินเพื่อนที่อยู่หอเดียวกับเขาบอกว่าหอชายของพวกเขาบางครั้งก็จะเอาหนังโป๊มาดูกัน แต่เยี่ยสวี่มักจะหลบออกไปในเวลาแบบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยดูด้วยกันกับทุกคน ดังนั้นพวกเราก็เลยสงสัยว่าเขาอาจจะไม่ชอบผู้หญิง แบบว่า…ไม่ ‘เกิดอารมณ์’ กับผู้หญิงน่ะ’
เจียงเหม่ยซีเห็นข้อความนี้ก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา
‘เป็นไปไม่ได้’
‘เอ๊ะ! ทำไมน้าเล็กถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะ’
เมื่อเห็นข้อความนี้ มือของเจียงเหม่ยซีที่กำโทรศัพท์มือถืออยู่ก็ชะงักไปโดยไม่รู้ตัว สักพักเธอถึงพิมพ์ตอบมู่ตี๋กลับไป
‘เธอคุยกับรูมเมตคนนั้นของเขาลึกเชียวนะ’
เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้อความของมู่ตี๋ไม่ได้ส่งมาอีกครั้ง เจียงเหม่ยซีเปิดคอมพิวเตอร์และเริ่มทำงานด้วยความพอใจ