ตอนเลิกงาน เจียงเหม่ยซีเดินผ่านแผนกของมู่ตี๋ก็พบว่าตัวคนไม่รู้ไปไหน แต่ของที่อยู่บนโต๊ะทำให้เธอหยุดฝีเท้าลง
เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าเอากล้องส่องทางไกลแบบที่ทหารใช้มาจากไหน ในออฟฟิศต้องใช้ของแบบนี้ด้วยเหรอ?
เจียงเหม่ยซีหยิบขึ้นมาดู พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าในออฟฟิศไม่มีใครจึงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาไว้ข้างหน้าแล้วลองส่องดู นั่นทำให้เธอค้นพบว่ามันสามารถมองเห็นตัวเลขที่อยู่บนปฏิทินซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรได้อย่างชัดเจน
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เธอก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่อยู่หลังหน้าต่างบานนั้น…
ในตอนนั้นเองภาพตรงหน้าพลันมืดลง เจียงเหม่ยซีหมุนปุ่มปรับโฟกัสอย่างไม่เข้าใจ แต่ภาพยังคงมืดสนิท เธอลองปรับโฟกัสระยะให้ออกห่างวัตถุมาอีกนิด ความมืดตรงหน้าค่อยๆ มีสีสันขึ้นมา เป็นสีฟ้าอ่อน มีลายนูน เหมือนว่าวันนี้เธอเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน…
“สนุกไหมครับ” จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นมา
เจียงเหม่ยซีมือสั่น กล้องส่องทางไกลลอยออกไปจากมือ ยังดีว่าเยี่ยสวี่ที่อยู่ตรงหน้ามีปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็วจึงรับไว้ได้อย่างเบามือและมั่นคง
ดีที่ไม่มีอันตราย เจียงเหม่ยซีถอนหายใจออกมายาวๆ
เยี่ยสวี่ส่งกล้องส่องทางไกลไปตรงหน้าเธอ “ยังไม่เลิกงานเหรอครับ”
เจียงเหม่ยซีรับกล้องส่องทางไกลมาและมองเขาแวบหนึ่งอย่างนึกสงสัย “มีอะไรเหรอ”
“ข้างนอกฝนตกแล้ว”
“แล้ว?”
“คุณเลิกงานเร็วหน่อยได้ใช่ไหมครับ”
เขาถามคำถามพวกนี้ไปทำไมกัน หรือว่าจะนัดเดตกับเธอ? เจียงเหม่ยซีรีบกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างระแวงระวัง โชคดีที่ไม่มีใครอยู่
เยี่ยสวี่เหมือนจะอ่านสายตาของเธอออกจึงพูดปลอบใจ “ทุกคนไปกินข้าวกันหมดแล้ว”
เจียงเหม่ยซีลอบถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองเยี่ยสวี่อีกครั้ง เธอปวดหัว ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านวันเวลาที่น่าอกสั่นขวัญแขวนอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน เธอคิดว่าจำเป็นจะต้องกำราบเขาเอาไว้ให้ดี
“ฉันคิดว่าคำพูดที่ควรพูดฉันก็พูดไปชัดเจนหมดแล้ว อยู่ในบริษัทการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแบบปกติกับฉันมันยากนักหรือไง ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบ ทำตามคำสั่งของหัวหน้าก็คือกฎระเบียบของที่นี่! ฉันนึกว่านายเป็นคนฉลาดมาตลอด แต่ตอนนี้เห็นทีว่าฉันจะมองผิดไปแล้ว”
เจียงเหม่ยซีพอใจกับคำพูดนี้ของตัวเองเป็นอย่างมาก ทั้งแสดงออกถึงความไม่พอใจของเธอ และยังแสดงออกถึงความผิดหวังที่เธอมีต่อเขา ขณะเดียวกันก็ยังบอกเขาเป็นนัยๆ อีกครั้งว่าหากเขายังไม่รู้จักกฎระเบียบแบบนี้ต่อไป เธอก็มีความสามารถที่จะทำให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน
เยี่ยสวี่นิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผมก็แค่จะบอกว่าข้างนอกฝนตกแล้ว ผมไม่ได้พกร่ม ถ้าเป็นไปได้อยากจะติดรถไปด้วย แต่ถ้านี่คือสิ่งที่คุณเรียกว่าการกระทำเกินกว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแบบปกติ’ งั้นก็ช่างเถอะครับ”
เจียงเหม่ยซีนิ่งอึ้ง เธอเข้าใจเขาผิดจริงๆ งั้นเหรอ
เยี่ยสวี่เดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามองเจียงเหม่ยซี “รู้ไหมว่าทำไมคุณถึงคิดมากขนาดนั้น”
“ทำไม” เจียงเหม่ยซีไม่คิดว่าจะหลุดปากถามออกไป
เยี่ยสวี่ยิ้ม พูดอย่างสบายอารมณ์ยิ่ง “เพราะว่าคุณร้อนตัวน่ะสิครับ”
กว่าเจียงเหม่ยซีจะได้สติคืนมาแล้วออกอาการโมโห เขาก็เดินไปไกลแล้ว
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะเริงร่าของผู้ชายดังมาจากข้างหลัง เจียงเหม่ยซีตกใจ เธอหันกลับไปมองจึงพบว่าเป็นลู่สืออวี่
“มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ต้องห่วง ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็แค่ตอนที่เขาเพิ่งบอกว่าเธอกินปูนร้อนท้องเมื่อกี้น่ะ แต่ฉันอยากรู้ว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงบอกว่าเธอกินปูนร้อนท้อง ไม่ใช่ว่าเขาอ่อยเธอฝ่ายเดียวหรอกเหรอ”
“ทำไมอายุป่านนี้แล้วนายยังไม่เข้าใจอีก ความอยากรู้อยากเห็นบางทีก็ทำร้ายคนถึงตายได้นะ”
“ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็ยังอยากถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี…เจียงเหม่ยซีตกลงว่าเธอกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่”
เจียงเหม่ยซีมองลู่สืออวี่ที่อยู่ตรงหน้า เธอเงียบไปสักพักก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลัวว่านายจะแพ้อนาถเกินไปน่ะสิ”
ลู่สืออวี่ได้ยินแล้วไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังหัวเราะออกมาเสียงดัง “เหม่ยซี…เธอไม่รู้สึกเหรอว่าตัวเองจะชอบพูดจาแรงๆ ไร้สาระแบบนี้แค่ตอนที่เธอกำลังไม่มั่นใจน่ะ”
ฝีเท้าที่เตรียมจะผละจากไปของเจียงเหม่ยซีดูละล้าละลังเล็กน้อย แต่เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับลู่สืออวี่อีกจึงรีบเดินไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว
เมื่อขึ้นรถแล้วเธอถึงสังเกตว่าในมือยังถือกล้องส่องทางไกลตัวนั้นเอาไว้อยู่
เจียงเหม่ยซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งข้อความไปหามู่ตี๋