‘กล้องส่องทางไกลบนโต๊ะเธอฉันหยิบติดมือมานะ’
‘อ๊า ไม่ได้นะ!’
‘เธอใช้ของแบบนี้ทำอะไรล่ะ’
‘คอนเสิร์ตของอาซิ่นวันพรุ่งนี้ก็ต้องพึ่งมันไงล่ะ!’
‘ยังมีเวลาไปดูคอนเสิร์ต? ดูท่าทางเธอจะว่างจังนะ ฉันกำลังคิดว่าหรือต้องเพิ่มปริมาณงานที่เหมาะสมให้กับเธอดี’
‘น้าเล็ก! คุณผู้อำนวยการ! หนูเป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณนะ!’
เจียงเหม่ยซีคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพิมพ์ตอบกลับไป
‘เธอไม่ได้ส่งของขวัญให้ฉันนานแล้ว นี่ก็ใกล้จะวันเกิดฉันพอดีเลย เอาอันนี้ก็แล้วกัน ไม่รังเกียจ’
‘น้าแน่ใจเหรอ ยังเหลืออีกตั้งครึ่งปีนะ! เอ๊ะ แปลกแฮะ น้าจะเอามันไปทำอะไรอะ แอบถ้ำมองใครเหรอ’
เจียงเหม่ยซีเก็บโทรศัพท์มือถือลงไป ไม่ได้ตอบอะไรอีก
เจียงเหม่ยซีกินของว่างระหว่างทางกลับและแวะซื้ออาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ที่ร้านขนมปังตรงทางเข้าเขตคอนโดฯ เธอเสียเวลาระหว่างทางไปไม่น้อย แต่ตอนที่กลับถึงห้องกลับพบว่าหน้าต่างของตึกฝั่งตรงข้ามบานนั้นยังคงมืดสนิท
หรือว่าจะติดฝนจริงๆ? แต่ฝนก็ไม่ได้ตกหนักขนาดนั้นสักหน่อยนี่
เจียงเหม่ยซีโยนกล้องส่องทางไกลลงบนโต๊ะ ถอดเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำ หลังจากออกมาก็มาสก์หน้าแล้วเล่นโทรศัพท์สักพัก
ในที่สุดหน้าต่างของฝั่งตรงข้ามก็สว่างขึ้นมาตอนสี่ทุ่มครึ่ง เธอรีบดึงที่มาสก์หน้าออกแล้วหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา
ผู้ชายที่อยู่ในสายตายังคงสวมเสื้อผ้าของเมื่อตอนกลางวันเหมือนตอนอยู่ที่บริษัท เขาเดินไปเดินมาพลางแกะกระดุมเสื้อเชิ้ต
เจียงเหม่ยซีหมุนปุ่มปรับโฟกัสอย่างช้าๆ ใบหน้าของเยี่ยสวี่ก็ค่อยๆ ชัดขึ้น
เขาเดินมาถึงหน้าต่าง ถอดเสื้อเชิ้ตออกแล้วโยนลงบนเตียง ทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเท่ากับก่อนหน้านี้แท้ๆ เจียงเหม่ยซีอยากจะบอกว่าเด็กบ้านี่ชอบโชว์จริงๆ
แต่ว่า…มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากคืนก่อนๆ ด้วยการช่วยเหลือจากกล้องส่องทางไกลทำให้เธอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เส้นกล้ามเนื้อที่เรียบลื่น แนวกล้ามหน้าท้องที่เห็นได้รางๆ อีกทั้งผิวพรรณที่เป็นสีน้ำนมนั่น
สำหรับบรรดาพนักงานในบริษัท รูปร่างของลู่สืออวี่นั้นก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ได้ยินว่าเขามักจะไปฟิตเนสอยู่เป็นประจำ ตอนไปสร้างทีมสัมพันธ์เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วเจียงเหม่ยซีก็สังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อของเขาได้รับการเทรนมาอย่างดี แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเด็กบ้าคนนี้จะเหนือกว่าลู่สืออวี่ไปขั้นหนึ่ง
เจียงเหม่ยซีกำลังลอบเปรียบเทียบอยู่ในใจ แต่แล้วจู่ๆ ข้างหน้าเลนส์กล้องส่องทางไกลก็มืดสนิท เธอคิดไม่ถึงว่าในขณะที่กำลังดูฉากจำกัดอายุอยู่นั้น คนบางคนที่ไม่คิดจะปิดบังอะไรจะถึงกับดึงม่านหน้าต่างลง!
หรือว่าเขาจะมองเห็นเธอ? ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่าว่าแต่เขาไม่รู้ว่าเธอพักอยู่ห้องไหนเลย เมื่อกี้เขาไม่ได้มองมาทางเธอสักแวบด้วยซ้ำ!
เจียงเหม่ยซีวางกล้องส่องทางไกลลงอย่างไม่สบอารมณ์ และเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือที่เธอวางไว้บนโต๊ะก็สั่นครืด
ทีแรกเธอนึกว่าเพื่อนร่วมโปรเจ็กต์มีธุระจึงส่งข้อความหาเธอ แต่พอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูกลับพบว่าเป็นเยี่ยสวี่
‘เมื่อกี้ผมจองแท็กซี่ให้ไปส่งผมที่สนามบินวันพรุ่งนี้ จะไปด้วยกันไหม’
ไฟลต์บินที่หลินจยาจองให้เธอกับเขาเป็นไฟลต์เช้า ตอนเช้าๆ ค่อนข้างเรียกรถยาก ถือว่าเยี่ยสวี่รอบคอบมาก แต่เมื่อเย็นนี้เธอเพิ่งปฏิเสธคำขอติดรถของอีกฝ่ายไป เวลานี้จะให้ตอบว่าไปด้วยอย่างยินดีปรีดาก็ดูเหมือนจะหน้าไม่อายไปหน่อย
ในตอนที่เจียงเหม่ยซีกำลังคิดว่าจะยอมรับความหวังดีของเขาด้วยความจำใจอย่างไรดีนั้น เยี่ยสวี่ก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง
‘อ้อ…ลืมไป การติดรถกันไปดูเหมือนว่าจะเกินว่าความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องแบบปกติ ช่างเถอะครับ ต่างคนต่างไปดีกว่า’
ว่าไงนะ! นี่เขากวนประสาทเธออยู่เหรอ?
เจียงเหม่ยซีชักจะโมโหแล้ว เธอรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยมือไม้สั่น นึกอยากจะสั่งสอนเขาสักหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่ากฎระเบียบในที่ทำงาน
แต่เพิ่งจะพิมพ์ข้อความไปได้ครึ่งเดียวก็ถูกข้อความที่ส่งเข้ามาใหม่ขัดจังหวะ
‘ไม่เห็นเหรอ หลับแล้ว? งั้นราตรีสวัสดิ์ครับ’
เธอยังไม่ทันได้ตอบอะไรสักคำ ทำไมถึงราตรีสวัสดิ์ไปซะแล้วล่ะ!
เจียงเหม่ยซีกลั้นหายใจ ต่อสายโทรศัพท์ออกไปโดยตรงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีคนที่เร็วกว่าเธอ ในโทรศัพท์มีเพียงเสียงอันเฉยเมยของผู้หญิงดังขึ้นว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้…”
ผลของการไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์โกรธก็คือ…คืนนี้เจียงเหม่ยซีนอนไม่หลับแล้ว!