เจียงเหม่ยซีก้มหน้ารัดเข็มขัดนิรภัยพลางเอ่ย “กลับกันเลย หลับสนิทดีมากต่างหากล่ะ”
เยี่ยสวี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “งั้นก็เป็นสาเหตุที่หน้าสดสินะครับ”
เจียงเหม่ยซีเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง”
เยี่ยสวี่สบตาเธออย่างตรงไปตรงมา “หน้าบวมน่ะ”
“นี่!”
เสียงของเจียงเหม่ยซีเรียกสายตาจากผู้โดยสารตั้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง และเธอเองก็ตระหนักได้ถึงการเสียมารยาทของตนเช่นกัน เจียงเหม่ยซีสูดลมหายใจลึกๆ และกดเสียงพูดให้เบาลง “นายนึกว่าพอไม่อยู่ในบริษัทแล้วพวกเราก็ไม่ใช่หัวหน้ากับลูกน้องกันใช่ไหม แต่อย่าลืมนะ นี่เป็นเวลาทำงาน”
เยี่ยสวี่ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะพูดอย่างขอไปที “ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมง”
เจียงเหม่ยซีที่ทำอะไรได้อย่างราบรื่นเสมอมา พบว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กบ้านี่ เธอมักจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ เป็นเบี้ยล่าง และถูกทำให้โมโหจนจะบ้าตาย
“ดูดีไหมครับ” เยี่ยสวี่เก็บหนังสือพิมพ์แล้วเหลือบมองแวบหนึ่ง
เจียงเหม่ยซีละสายตาจากใบหน้าของเขา “เทียบกับฉันที่หน้าสด ก็งั้นๆ แหละ”
เยี่ยสวี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์อย่างหาได้ยาก ไม่ได้เจือการเยาะเย้ยและการเหน็บแนมไว้ในรอยยิ้มแต่อย่างใด
เจียงเหม่ยซีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เธอหยิบผ้าปิดตาออกมาจากกระเป๋าเตรียมจะสวม แต่กลับได้ยินเยี่ยสวี่ถามขึ้นว่า “กล้องส่องทางไกลใช้ดีไหมครับ”
มือของเจียงเหม่ยซีชะงัก “กล้องส่องทางไกลอะไร”
เยี่ยสวี่หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนนอนก็ควรดูอะไรที่ช่วยทำให้นอนหลับ ไม่อย่างนั้นจะตาค้างเอาง่ายๆ นะครับ”
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดถึงอะไรอยู่” เจียงเหม่ยซีพูดจบก็สวมผ้าปิดตาเป็นการจบบทสนทนา
หรือเป็นเพราะดูภาพที่ทำให้เลือดสูบฉีดก่อนนอนเธอถึงได้นอนไม่หลับจริงๆ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้เธอทั้งง่วงและเพลียมากแล้ว ไม่นานนัก ในขณะที่เกิดการสั่นไหวขึ้นเบาๆ การรับรู้ของเธอก็ค่อยๆ เลือนรางไป
ตอนที่ตื่นมาอีกครั้ง เครื่องบินก็แลนดิ้งเรียบร้อยแล้ว
เจียงเหม่ยซีเปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเป็นอันดับแรก ข้อความแรกที่เข้ามานั้นมาจากเบอร์แปลก เนื้อหาเกี่ยวข้องกับบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายนั้นที่พวกเขาต้องมาสำรวจและวิจัย
‘แม่น้ำของซิ่นซินลึกนะ รับโปรเจ็กต์ของชาวบ้านเขา ระวังจะขึ้นฝั่งไม่ได้!’
เจียงเหม่ยซีนิ่งงันไปโดยไม่รู้ตัว…นี่คืออะไรกัน ศัตรูจะแก้แค้น ผู้หวังดีต้องการเตือน หรือว่าเป็นแค่ปาหี่น่าเบื่อ?
“ข้อความเตือนภัย?” เสียงดังมาจากเยี่ยสวี่ที่อยู่ข้างๆ
เธอหันหน้าไปมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมสายตานายถึงดีนักนะ”
“สายตาปกติ แต่ตัวสูงเป็นข้อดี”
เจียงเหม่ยซีไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับเขา เธอยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจว่าใครเป็นคนส่งข้อความพรรค์นี้มาให้เธอ ที่สำคัญคืออีกฝ่ายรู้ว่าเธอกับเขาจะมาวันนี้ด้วย
เยี่ยสวี่ราวกับอ่านความคิดของเธอออก “อาจจะเป็นคู่แข่งเจ้าใดเจ้าหนึ่งก็ได้นะครับ”
“ทำไมถึงว่าอย่างนั้น” เจียงเหม่ยซีถามลอยๆ
เยี่ยสวี่วิเคราะห์แทนเธอ “บริษัทนี้จะเข้าสู่ตลาดได้หรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับพวกเรามากนัก พวกเราแค่ทำงานรับเงินเท่านั้น ทางโบรกเกอร์ต่างหากที่ต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนคนนี้จะปะทะกับพวกเรา คงแค่ไม่อยากให้ซิ่นซินเข้าสู่ตลาดอย่างราบรื่นก็เท่านั้น”
ความจริงแล้วเพียงแค่คิดให้ถี่ถ้วนสักหน่อย ทุกคนล้วนต้องคิดถึงจุดนี้ แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากของพนักงานที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทได้ไม่กี่วัน ก็เลยทำให้เธอรู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย
แต่เธอก็ยังคงตอบกลับไปว่า “เรื่องไหนๆ ก็ไม่แน่นอนเสมอไปหรอก”
ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาถึงประตูทางออกแล้ว ในกลุ่มฝูงชนที่มารับผู้โดยสารมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนว่า ‘คุณเจียง’ อยู่บนป้ายดูเด่นชัดสะดุดตาเหลือเกิน
คนที่ชูป้ายเป็นชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงมากนัก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเองก็เดาได้ว่าเธอคงเป็นคนที่เขาต้องมารับ ดังนั้นจึงโบกป้ายในมือมาทางพวกเราสองคนอย่างบ้าคลั่ง
เจียงเหม่ยซีและเยี่ยสวี่สบตากัน ไม่ได้ต่อหัวข้อสนทนาเมื่อครู่อีก ก่อนจะเดินไปหาคนคนนั้น
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 65)