“คุณคิดว่าจะบอกให้คาตาลิน่าหันมาได้ไหม ผมจะขอบคุณมากถ้าได้พูดต่อหน้าเธอ ไม่ใช่หลังหัวแบบนี้” น้ำเสียงของเขาลดระดับกลับลงไปที่ติดลบศูนย์องศาอีกครั้ง “แน่นอนว่าถ้านี่ไม่ใช่มุกตลกอีกมุกของเธอที่ผมดูจะไม่มีวันเข้าใจได้เลย แถมยังไม่คิดว่ามันตลกอะไรด้วย”
ความร้อนแผ่ไปทั่วร่างของฉัน อีกทั้งยังลามขึ้นมาถึงใบหน้า
“แน่นอนค่ะ” โรซีตอบรับ “ฉันคิดว่า…ฉันคิดว่าทำได้นะ” สายตาของเธอตวัดจากข้างหลังกลับมาที่หน้าฉัน ก่อนเลิกคิ้วขึ้น “ลิน่า แบบว่า เอ่อ แอรอนอยากให้เธอหันไปแน่ะ ถ้านี่ไม่ใช่มุกตลกอีกมุกที่…”
“ขอบใจ โรซี ฉันได้ยินแล้ว” ฉันกัดฟันตอบ รู้สึกได้ว่าแก้มร้อนผ่าวและยังคงไม่ยอมหันไปหาเขา เพราะนั่นจะหมายความว่าฉันยอมให้เขาชนะเกมอะไรก็ตามที่เขากำลังเล่นอยู่นี้ อีกอย่างเขาเพิ่งบอกว่าฉันไม่ตลกเลย เขาเนี่ยนะ
“ช่วยบอกแอรอนทีว่าฉันไม่คิดว่าคนเราจะหัวเราะกับมุกตลกได้หรอก ถ้าคนคนนั้นเป็นพวกไร้อารมณ์ขัน อย่าว่าแต่เข้าใจมุกเลย ถ้าเธอช่วยบอกเขาได้ก็จะดีมาก ขอบใจจ้ะ”
โรซีเกาศีรษะพลางมองฉันอย่างวิงวอน ดูราวกับเธอกำลังขอร้องฉันด้วยสายตาว่าอย่าให้เธอต้องทำแบบนี้เลย
ฉันถลึงตาใส่เธอ ไม่สนใจคำอ้อนวอนนั้นและขอร้องให้เธอเล่นไปตามน้ำ
โรซีถอนหายใจ แล้วชะโงกอ้อมฉันไปอีกครั้ง “แอรอน” เธอพูด รอยยิ้มเสแสร้งยิ่งฉีกกว้างขึ้นอีก “ลิน่าคิดว่า…”
“ผมได้ยินแล้ว โรซี ขอบคุณ”
ฉันคุ้นชินกับเขา คุ้นชินกับสิ่งนี้ คุ้นชินเสียจนฉันสังเกตได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยของเขา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาได้สับสวิตช์เปลี่ยนมาเป็นเสียงที่เขาใช้กับฉันเท่านั้น เสียงที่กระด้างเย็นชาพอกัน หากแต่ตอนนี้มันมีทั้งความรังเกียจและเหินห่างเพิ่มมาอีกชั้นด้วย เสียงที่อีกไม่ช้าจะตามมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ฉันไม่ต้องหันไปมองเขาก็รู้ พอเป็นเรื่องของฉันและเรื่อง…ระหว่างเรา เขาจะมีสีหน้าแบบนั้นเสมอเพราะอะไรสักอย่าง
“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคำพูดของผมสื่อไปถึงคาตาลิน่าที่อยู่ข้างล่างนั่นชัดเจนดี แต่ถ้าคุณจะช่วยบอกเธอให้ทีว่าผมมีงานต้องทำและไม่สามารถเล่นต่อด้วยได้ ผมก็จะขอบคุณมากครับ”
ข้างล่างนั่นเรอะ ไอ้ยักษ์ใหญ่งี่เง่า
ฉันขนาดตัวตามมาตรฐานย่ะ แน่ล่ะว่ามาตรฐานสำหรับคนสเปน แต่ยังไงก็ตามมาตรฐานอยู่ดี ฉันสูงห้าฟุตสาม…เกือบสี่นิ้ว ขอบใจมาก
นัยน์ตาสีเขียวของโรซีกลับมาจับจ้องฉัน “คือแอรอนมีงานต้องทำ แล้วเขาก็จะขอบคุณมาก…”
“ถ้า…” ฉันหยุดตัวเองเมื่อได้ยินเสียงแหลมสั่นๆ นั้น ฉันกระแอมและลองอีกที “ถ้าเขายุ่งนักล่ะก็ ช่วยกรุณาบอกเขาทีว่าเชิญทิ้งฉันไว้ตามสบายเลย เขาจะกลับไปที่ห้องทำงานของเขา และทำกิจกรรมตามประสาคนบ้างานอะไรก็ตามที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหยุดทำเพื่อมาสอดเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยได้ตามสบาย”
ฉันมองปากของเพื่อนเผยอออก แต่ชายหนุ่มด้านหลังฉันพูดขึ้นก่อนที่เสียงจะทันได้เล็ดลอดออกจากริมฝีปากเธอ
“งั้นคุณก็ได้ยินที่ผมพูดสินะ ข้อเสนอของผมน่ะ ก็ดี”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ฉันแอบกระซิบสบถ
“แล้วคำตอบล่ะว่าไง”
ใบหน้าของโรซีปรากฏอาการช็อกอีกรอบ สายตาของฉันยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอ และฉันก็นึกภาพออกเลยว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มของฉันกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความหงุดหงิดที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
คำตอบของฉันงั้นเรอะ นี่เขากำลังพยายามทำบ้าอะไรอยู่ไม่ทราบ นี่เป็นวิธีปั่นหัวฉัน ปั่นสติฉัน ที่เขาคิดค้นขึ้นมาใหม่หรืออย่างไร
“ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” ฉันโกหก “เธอบอกเขาแบบนั้นด้วยล่ะ”
โรซีทัดลอนผมหยิกไว้หลังใบหู สายตาของเธอตวัดไปทางแอรอนแวบหนึ่งก่อนจะเบนกลับมาหาฉัน
“ฉันคิดว่าเขากำลังพูดถึงตอนที่เขาเสนอตัวเป็นคู่เดตไปงานแต่งงานของพี่สาวเธอน่ะ” เธออธิบายเสียงเบา “แบบว่าหลังจากที่เธอบอกฉันว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วและตอนนี้เธอจำเป็นต้องหาใครสักคน…หรือใครก็ได้ ฉันคิดว่าเธอพูดงั้นนะ คนที่จะไปสเปนกับเธอและไปร่วมงานแต่งนั่น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงจะต้องตายอย่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดและ…”
“ฉันว่าฉันเข้าใจแล้วล่ะ” ฉันละล่ำละลัก พลันรู้สึกได้ว่าหน้าร้อนผ่าวอีกครั้งเมื่อตระหนักได้ว่าแอรอนได้ยินทั้งหมดนั้น “ขอบใจ โรซี เธอหยุดทวนได้แล้ว” ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ตายอย่างช้าๆ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดนั่นในตอนนี้เลย
“ผมคิดว่าคุณใช้คำว่าอับจนหนทางนะ” แอรอนเสริม
หูของฉันก็ร้อนผ่าวด้วยเช่นกันเมื่อได้ยินคำนั้น อาจถึงขั้นแผ่รังสีแดงก่ำวาบขึ้นมาห้าเฉดเลย
“ฉันเปล่า” ฉันกระซิบออกมา “ฉันไม่ได้ใช้คำนั้นเสียหน่อย”
“เธอ…เหมือนจะใช้คำนั้นนะ ที่รัก” เพื่อนรักของฉัน…ไม่สิ ตอนนี้เป็นอดีตเพื่อนรักแล้วยืนยัน
ฉันหรี่ตาพลางขยับปากพูดแบบไร้เสียงว่า ‘บ้าอะไรเนี่ย คนทรยศ’
แต่ทั้งสองคนพูดถูก