“ก็ได้ ฉันพูดแล้วไง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอับจนหนทางขนาดนั้นเสียหน่อย”
“คนสิ้นไร้ไม้ตอกที่แท้จริงเท่านั้นแหละถึงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้ามันจะช่วยให้คุณนอนหลับสนิทได้ คาตาลิน่า”
ฉันพึมพำสาปแช่งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ในเช้าวันนี้พลางหลับตาลงครู่สั้นๆ
“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย แบล็กฟอร์ด แต่ฉันไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก โอเคไหม แล้วฉันก็นอนหลับสนิทดีย่ะ ไม่สิ จริงๆ แล้วไม่เคยหลับสบายขนาดนี้มาก่อนเลย”
ก็แค่เพิ่มเรื่องโกหกเข้าไปในคลังเรื่องโกหกคำโตที่ฉันพกไปไหนมาไหนด้วยอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป ว่าไหม ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฉันเพิ่งปฏิเสธไป แท้จริงแล้วฉันอับจนและไร้ซึ่งหนทางที่จะหาใครสักคนมาเป็นคู่เดตไปงานแต่งนั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะ…
“แหงล่ะ”
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ จากถ้อยคำบ้าๆ ทั้งหมดที่แอรอน แบล็กฟอร์ดพูดใส่หลังศีรษะฉันในเช้าวันนี้ คำนั้นกลับเป็นคำที่ทำให้ฉันเลิกแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรเลย
คำว่า ‘แหงล่ะ’ ฟังดูทั้งหยามขี้หน้า เบื่อหน่าย เหมือนกับว่าพูดไปอย่างนั้น และมันช่างสมกับเป็นแอรอนเสียจริง
แหงล่ะ
เลือดของฉันเดือดปุด
ปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำสองพยางค์นั้นพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยอัตโนมัติ ซึ่งถ้าหากออกจากปากคนอื่นคงจะไร้ความหมาย ฉันไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหมุนตัวจนกระทั่งสายเกินไป
ด้วยความที่เขาตัวสูงผิดธรรมชาติ ฉันจึงเผชิญกับแผงอกกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวรีดเรียบที่ฉันคันไม้คันมืออยากกำเนื้อผ้านั้นแล้วบิดให้มันยับไปเลย เพราะคนบ้าที่ไหนจะใช้ชีวิตในสภาพที่เรียบร้อยไร้ที่ติตลอดเวลากัน ก็แอรอน แบล็กฟอร์ดไง หมอนี่แหละ
สายตาของฉันเลื่อนขึ้นไปตามไหล่แข็งแรงและลำคอบึกบึน ไล่ไปจนถึงกรามเป็นสัน ริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรงอย่างที่ฉันรู้ว่ามันจะเป็น จากนั้นสายตาของฉันก็ไล่เรื่อยขึ้นไปจนถึงนัยน์ตาสีฟ้าของเขา สีฟ้าที่ชวนให้ฉันนึกถึงก้นมหาสมุทรลึกที่ซึ่งทุกสิ่งช่างเยียบเย็นและอันตราย…ก่อนจะพบว่าดวงตาคู่นั้นจับจ้องฉันอยู่
คิ้วข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้น
“ ‘แหงล่ะ’ งั้นเรอะ” ฉันขู่ฟ่อ
“ใช่” ศีรษะที่มีผมสีดำขลับอยู่ด้านบนนั้นผงกหนหนึ่ง สายตาของเขาไม่ละไปจากดวงตาฉัน “ผมไม่อยากเสียเวลาเถียงในสิ่งที่คุณดื้อเกินกว่าจะยอมรับ เพราะงั้นก็ใช่ แหงล่ะ”
ฉันจะไม่ยอมให้ผู้ชายตาสีฟ้าน่าโมโหที่อาจใช้เวลารีดเสื้อผ้าตัวเองมากกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นมาทำให้ฉันสติขาดผึงตั้งแต่เช้าขนาดนี้หรอกนะ
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมร่างกายตัวเองไว้ ทัดปอยผมสีน้ำตาลเข้มไว้หลังหู “ถ้านี่มันเสียเวลานัก ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณยังจะมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ กรุณาอย่าอยู่เพื่อฉันหรือโรซีเลยค่ะ”
เสียงท้วงไม่เห็นด้วยดังมาจากปาก ‘นางสาวจอมทรยศ’
“ผมก็ไม่ได้อยากอยู่หรอก” แอรอนยอมรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลย”
“นั่นไม่ใช่คำถามเสียหน่อย” ฉันพูด ประโยคนั้นให้รสเปรี้ยวอยู่บนลิ้น “อะไรก็ตามที่คุณพูดออกมามันไม่ใช่คำถาม แต่นั่นไม่สำคัญหรอกเพราะฉันไม่ต้องการคุณ ขอบคุณมาก”
“แหงล่ะ” เขาเอ่ยซ้ำ เพิ่มอารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่านของฉันขึ้นมาอีกขั้น “แม้ผมจะคิดว่าคุณต้องการก็เถอะ”
“คุณคิดผิด”
คิ้วข้างนั้นเลิกสูงขึ้น “แต่มันฟังดูเหมือนคุณต้องการผมจริงๆ”
“งั้นคุณคงมีปัญหาด้านการฟังอย่างร้ายแรงแล้วล่ะ เพราะคุณฟังผิดอีกแล้ว ฉันไม่ต้องการคุณ แอรอน แบล็กฟอร์ด” ฉันกลืนน้ำลาย พยายามทำให้คอหายแห้งขึ้นบ้าง “ฉันเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้ก็ได้นะถ้าคุณต้องการ เดี๋ยวส่งอีเมลให้ด้วยเลยถ้ามันจะช่วยได้”
เขาทำท่าราวกับคิดอยู่เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ฉันรู้ดีเกินกว่าจะเชื่อว่าเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ขนาดนั้น ซึ่งเขาก็พิสูจน์ว่าฉันคิดถูกทันทีที่เขาเปิดปากพูดอีกครั้ง
“คุณไม่ได้พูดเองเหรอว่างานแต่งจะจัดในอีกหนึ่งเดือนและคุณก็ยังไม่มีคู่เดต”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง “ก็อาจจะ ฉันจำคำพูดแบบเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก” ฉันพูดแบบนั้น คำต่อคำเลยล่ะ
“โรซีไม่ได้แนะนำหรอกหรือว่าถ้าคุณไปนั่งข้างหลังและพยายามไม่ดึงดูดความสนใจ ก็อาจไม่มีใครสังเกตว่าคุณไปร่วมงานแต่งคนเดียว”
ศีรษะของเพื่อนรักโผล่เข้ามาในระยะสายตาของฉัน
“ฉันพูดแล้ว ฉันแนะด้วยว่าให้เธอใส่ชุดสีหม่นๆ ไม่ใช่ชุดกระโปรงสีแดงสุดสวยตัวนั้นที่…”
“โรซี” ฉันขัด “ไม่ได้ช่วยเลยย่ะ”
ดวงตาของแอรอนไม่สั่นไหวเมื่อเขาทวนความทรงจำต่อ “คุณไม่ได้เตือนความจำโรซีต่อจากนั้นด้วยหรือว่าคุณเป็นเพื่อนเจ้าสาวเลยนะแม่ง ตามที่คุณพูดนะ และด้วยเหตุนี้ทุกคนและแม่ของพวกเขา ซึ่งเป็นคำพูดของคุณอีกเช่นกัน ก็จะสังเกตเห็นคุณอยู่ดี”
“เธอว่างั้น”
ฉันได้ยินนางสาวจอมทรยศยืนยัน ฉันหันขวับไปทางเธอ
“อะไรล่ะ” เธอยักไหล่ สั่งประหารตัวเองไปเรียบร้อย “เธอพูดจริงๆ นี่ ที่รัก”
ฉันต้องการเพื่อนใหม่ แบบด่วนๆ
“เธอพูด” แอรอนยืนกรานหนักแน่น ดึงสายตาและความสนใจของฉันกลับไปหาเขาอีกครั้ง
“แล้วคุณก็ไม่ได้พูดอีกหรือว่าแฟนเก่าของคุณเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและคุณคิดว่าการยืนอยู่ใกล้ๆ เขาอย่าง ‘โดดเดี่ยว เห่ย และโสดอย่างน่าสมเพช’ ซึ่งเป็นคำพูดของคุณอีกเช่นกัน ทำให้คุณอยากทึ้งหนังตัวเองเลย”
ฉันพูด…ฉันพูดอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่ฉันไม่คิดว่าแอรอนฟังอยู่นี่ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีวันยอมรับออกมาดังๆ หรอก