บทที่ 4
“มาม่า”* ฉันพูดเป็นครั้งที่ร้อย “มาม่า ได้โปรดฟังหนูนะ”
ต่อให้ฉันขอให้แม่กรุณาฟังฉันอีกเป็นพันรอบก็ไม่สำคัญเลยจริงๆ แม่ฉันไม่เก่งเรื่องนั้น ยิ่งให้ทำจริงยิ่งแล้วใหญ่ การฟังมีไว้เฉพาะคนที่เส้นเสียงได้หยุดพักบ้างเท่านั้น
เสียงถอนหายใจยาวดังออกมาจากปากของฉัน ขณะที่เสียงของแม่ยังคงพุ่งทะยานจากโทรศัพท์มาเข้าหูฉันเป็นภาษาสเปนรัวๆ
“มาเดร”** ฉันเรียกย้ำ
“…ฉะนั้นถ้าลูกตัดสินใจจะใส่อีกชุดหนึ่ง ลูกรู้ใช่ไหมว่าแม่หมายถึงตัวไหน” แม่ถามเป็นภาษาสเปน ไม่เว้นช่องให้ฉันตอบเท่าไร “ตัวที่มันบางจ๋อย เป็นไหมวาวๆ ทิ้งยาวลงไปถึงข้อเท้าลูกน่ะ แล้วก็นะ ในฐานะแม่ของลูก แม่จำเป็นต้องบอกลูกว่ามันไม่ได้ดูดีเลย ขอโทษนะ ลิน่า แต่ลูกน่ะเตี้ย แล้วทรงชุดนั่นก็ทำให้ลูกยิ่งดูเตี้ยลงไปอีก แล้วลูกก็ไม่เหมาะกับสีเขียวด้วย แม่ไม่คิดว่าเพื่อนเจ้าสาวของงานแต่งควรจะใส่สีนั้นหรอกนะ”
“หนูรู้ค่ะ มาม่า แต่หนูก็บอกไปแล้ว…”
“ลูกจะดูเหมือน…กบใส่รองเท้าส้นสูง”
ว้าว ขอบคุณค่ะ คุณแม่
ฉันหัวเราะเบาๆ และส่ายหน้า “ไม่สำคัญหรอกค่ะเพราะหนูจะใส่ชุดสีแดง”
เสียงอ้าปากสูดลมหายใจเข้าดังมาตามสาย “อ้าว ทำไมลูกไม่บอกแม่ก่อนล่ะ ปล่อยให้แม่พล่ามเรื่องชุดอื่นๆ ของลูกทั้งหมดนั่นตั้งครึ่งชั่วโมง”
“หนูบอกแม่ทันทีที่เราคุยกันเรื่องนี้ แม่แค่…”
“แหม แม่คงปล่อยให้ตัวเองเพลินไปหน่อยน่ะลูกรัก”
ฉันอ้าปากจะบอกเห็นด้วย แต่แม่ก็ไม่ยอมให้ฉันมีโอกาสได้พูด
“เพอร์เฟ็กต์” แม่ตัดบท “ชุดนั้นสวยมาก ลิน่า ดูผู้ดีแล้วก็ดูเล่นหูเล่นตา”
เล่นหูเล่นตาเรอะ หมายความว่ายังไง
“นมลูกจะเดินเข้างานมาก่อนลูกอีก”
โอ…แม่หมายถึงแบบนั้นสินะ
“แต่สีนั้นก็เข้ากับผิว ทรวดทรงองค์เอว แล้วก็เข้ากับหน้าของลูกจริงๆ ไม่เหมือนไอ้ชุดกบนั่น”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพึมพำ “หนูว่าหนูคงไม่มีวันใส่เสื้อสีเขียวอีกแล้วล่ะ”
“ดีจ้ะ” แม่พูดเร็วเกินกว่าจะมองว่ามันเป็นเพียงความเห็นที่มาจากความประสงค์ดี “แล้วพ่อแฟนหนุ่มของลูกจะใส่อะไรล่ะ ลูกจะใส่ชุดเข้ากันหรือเปล่า ปาป่า*** มีเนกไทสีฟ้าอ่อนเฉดเดียวกับชุดของแม่นะ”
เสียงร้องครางเบาๆ หลุดจากปากฉัน “มาม่า มาม่าก็รู้ว่าอิซาเกลียดอะไรแบบนั้น พี่เขาย้ำกับเราเลยว่าอย่าใส่ชุดคู่”
พี่สาวของฉันยืนกรานหนักแน่นมาโดยตลอดว่าห้ามแต่งตัวคู่กันอย่างเด็ดขาด ฉันถึงขั้นต้องห้ามเธอไม่ให้ใส่ข้อนี้ลงไปในบัตรเชิญ ฉันต้องเสียพลังงานและความอดทนไปมากมายเพื่อโน้มน้าวให้เธอคิดว่าตัวเองไม่อยากเป็นเจ้าสาวประเภทนั้นหรอก
“แหม ดูจากการที่แม่คลอดเจ้าสาวออกมาและแม่ก็ซื้อเนกไทเส้นนั้นให้ปาป่าแล้ว แม่ว่าพี่สาวของลูกคงต้องยอมยกเว้นให้ล่ะ”
เรื่องดื้อขอให้บอก ฉันน่ะดื้อแน่นอนล่ะ พี่สาวฉันก็อาจดื้อยิ่งกว่า แต่แม่ของเราน่ะหรือ ผู้หญิงคนนี้เป็นต้นกำเนิดของคำว่าหัวรั้นตั้งแต่วันที่ท่านลืมตาดูโลกเลย
“หนูว่าพี่ก็คงต้องยกเว้นให้ล่ะนะ” ฉันพึมพำยอมรับ
ฉันเอื้อมมือไปหาสมุดแพลนเนอร์และจดลงไปในรายการสิ่งที่ต้องทำแบบหวัดๆ ว่าให้โทรเตือนอิซาด้วย
“แม่มีโวเชอร์ออนไลน์ที่ลูกใช้ได้อยู่ คิดว่านะ” แม่กล่าวระหว่างที่ฉันปลดล็อกแล็ปท็อปของตัวเองและเช็กอินบ็อกซ์อย่างใจลอย “มันอาจใช้นอกสเปนไม่ได้ แต่ก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ ลูกเป็นลูกสาวของแม่ ลูกก็ควรใช้โวเชอร์ของแม่ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกสิ อินเตอร์เน็ตไม่ได้มีไว้เพื่อการนี้หรอกรึ”
ฉันคลิกข้อความแจ้งเตือนอีเมลสำหรับการประชุมชุดใหม่ที่ฉันได้รับ “ค่ะ แน่นอน” เมื่อดูเนื้อหาในคำบรรยายคร่าวๆ แล้วฉันก็รู้ว่าบางทีฉันน่าจะรอให้แม่วางสายก่อนค่อยเปิดอ่าน
“ค่ะ แน่นอน อินเตอร์เน็ตมีไว้เพื่อของแบบนั้น หรือว่าค่ะ แน่นอน ลูกจะใช้โวเชอร์ของแม่กันแน่”
ฉันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางอ่านข้อมูลที่แนบมา
“ลิน่า”
นี่เรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่นะ
“ค่ะ มาม่า”
“เอาล่ะ ลูกคงต้องไปเช็กโวเชอร์ด้วยตัวเองนะ ลูกก็รู้ว่าแม่ไม่ถนัดเรื่องอินเตอร์เน็ตอะไรนี่”
“แน่นอนค่ะ” ฉันตอบ ยังคงไม่รู้ว่าตัวเองตกลงอะไรไป
“เว้นแต่ว่าเขาจะมีเนกไทแล้ว”
เขา
ความสนใจทั้งหมดของฉันพลันกลับเข้ามาสู่บทสนทนา
“มีหรือยัง” แม่ถามย้ำเมื่อฉันไม่ตอบ “แฟนใหม่ของลูกน่ะ”
แค่คิดว่าจะต้องคุยเรื่องนี้เหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ผุดขึ้นมาบนหน้าผากฉันแล้ว
เขา
แฟนหนุ่มที่ฉันไม่มี แต่ครอบครัวของฉันเชื่อว่าฉันมี เพราะฉันบอกพวกเขาเอง
ฉันโกหกพวกเขาเอง
ทันใดนั้นริมฝีปากของฉันก็โดนเย็บปิดสนิทอย่างน่าอัศจรรย์ ฉันรอให้แม่เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาตามสบายในสไตล์เอะอะมะเทิ่งเร็วจี๋แบบที่แม่มักจะทำอยู่เสมอ ขณะเดียวกันสมองของฉันก็เข้าสู่โหมดคลุ้มคลั่งตื่นตระหนก
แล้วฉันควรจะพูดอะไรล่ะ ไม่ค่ะ มาม่า เขามีเนกไทไม่ได้เพราะเขาไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ หนูแต่งเรื่องขึ้นมาเอง ทั้งหมดก็เพื่อพยายามให้ดูน่าสมเพชและเปล่าเปลี่ยวน้อยลงหน่อย