ไม่ แม่คิดผิด ทุกคนคิดว่าพวกเขาเข้าใจ แต่ไม่มีใครเข้าใจจริงๆ พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าการพูดว่า ‘สาวน้อยผู้น่าสงสาร แม่ลิน่าน้อยที่น่าสงสาร’ แล้วตามมาด้วยสายตาสังเวชและพยักหน้าหงึกหงักทั้งหมดนั้น ราวกับพวกเขาเข้าใจว่าทำไมฉันถึงมีแผลใจและไม่สามารถคบใครใหม่ได้ นั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันต้องโกหกครอบครัวตัวเอง คือเหตุผลที่แค่คิดว่าต้องโผล่ไปคนเดียวทั้งที่แดเนียล รักแรกของฉัน แฟนเก่าของฉัน พี่ชายเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าวจะอยู่ที่นั่นกับคู่หมั้นของเขาด้วยก็ทำให้ฉันไม่อยากเป็นตัวเองแล้ว นั่นมีแต่จะยิ่งสนับสนุนสมมติฐานที่พวกเขาสรุปกันเองเกี่ยวกับฉัน
โสดและเดียวดายหลังหนีออกนอกประเทศด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ติดอยู่กับอดีต
ฉันเลิกคิดถึงเขาไปแล้ว พูดจริง แต่ให้ตายเถอะ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมัน…เล่นเอาฉันพังไม่เป็นท่า ฉันตระหนักแล้วในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะจู่ๆ มันก็กระแทกเข้าใส่ฉันอย่างจังว่าฉันโสดมาหลายปีแล้ว แต่เพราะฉันโกหก และสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือฉันเพิ่งตัดสินใจว่าจะโป้ปดต่อไปโดยไม่มีถอย
‘ทุกคนเข้าใจ ลูกผ่านอะไรมาเยอะ’
‘เยอะ’ ยังเรียกว่าน้อยไป
ไม่ล่ะ ฉันทำไม่ได้ ฉันจะไม่ทำ ฉันจะไม่เป็นลิน่าคนนั้นต่อหน้าทั้งครอบครัวของฉัน ต่อหน้าคนทั้งเมืองบ้านั่น ต่อหน้าแดเนียล
“ลิน่า…” แม่เรียกชื่อของฉันในแบบที่มีแต่คนเป็นแม่เท่านั้นที่จะทำได้ “ยังอยู่หรือเปล่า”
“แน่นอนค่ะ” เสียงฉันฟังดูสั่นเครือและหนักอึ้งด้วยทุกอารมณ์ที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ และฉันก็เกลียดที่มันเป็นแบบนั้น ฉันยืดหลังตรงขึ้นบนเก้าอี้
“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับแฟนหนูค่ะ”
ฉันโกหก โกหก โกหก และยิ่งโกหก
ลิน่า มาร์ติน นักโกหกหลอกลวงมืออาชีพ
“แล้วหนูก็จะพาเขาไป อย่างที่เคยบอกไว้” ฉันแค่นหัวเราะออกมาหนหนึ่ง แต่มันฟังดูผิดเพี้ยนไปหมด “ถ้าแม่แค่ปล่อยให้หนูพูดก่อนด่วนสรุปไม่เข้าท่าแล้วเทศนาหนูล่ะก็ หนูก็คงบอกแม่ไปแล้วค่ะ”
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาจากลำโพงโทรศัพท์ มีเพียงความเงียบ
แม่ฉันไม่ได้โง่ ฉันไม่คิดว่ามีแม่คนไหนโง่ทั้งนั้น และถ้าฉันเชื่อแม้แต่วินาทีเดียวว่าฉันรอดพ้นจากพายุแล้วล่ะก็ ฉันคงคิดผิด
“โอเค” แม่เอ่ยอย่างนุ่มนวลพิลึก “งั้นลูกก็ยังคบกันอยู่สินะ”
“ค่ะ” ฉันโกหกอีกครั้ง
“และเขาก็จะมางานแต่งกับลูก มาที่สเปนใช่ไหม”
“ถูกต้องค่ะ”
เงียบ…จนฉันตระหนักได้ว่ามือทั้งสองข้างของฉันกำลังเหงื่อแตกพลั่กจนโทรศัพท์คงหลุดมือไปแล้วถ้าฉันไม่ได้กำมันไว้แน่นขนาดนี้
“เขาก็อยู่นิวยอร์กเหมือนกัน ลูกว่างั้นใช่ไหม”
“ค่ะ”
แม่ส่งเสียงฮืม แต่แล้วก็เสริมว่า “คนอเมริกันเหรอ”
“เกิดและโตที่นี่เลยค่ะ”
“เขาชื่ออะไรนะ”
ลมหายใจฉันติดขัดอยู่ที่ไหนสักแห่งในลำคอ แย่แล้ว ฉันยังไม่ได้บอกชื่อเขาใช่ไหม ฉันไม่คิดว่าเคยบอกนะ แต่…
สมองฉันแล่นหาตัวเลือกอย่างฉับไวด้วยความร้อนรน ฉันต้องการสักชื่อ ซึ่งเป็นอะไรที่ง่ายและหาได้ไม่ยาก แค่ชื่อเดียว
ชื่อง่ายๆ ชื่อเดียว
ชื่อของผู้ชายที่ไม่มีตัวตนหรือฉันแค่ยังต้องหาอยู่
“ลิน่า…ยังอยู่หรือเปล่า” แม่ส่งเสียงกังวาน ท่านหัวเราะ ฟังดูประหม่าอย่างไรไม่รู้ “ลืมชื่อแฟนตัวเองหรือไง”
“อย่าพูดไปเรื่อยน่า” ฉันบอกแม่ ได้ยินความร้อนรนในน้ำเสียงตัวเอง “หนู…”
เงาหนึ่งสะดุดตาฉัน ดึงความสนใจของฉันไป สายตาฉันพุ่งไปที่ประตูห้องทำงาน แล้วแอรอน แบล็กฟอร์ดก็ก้าวข้ามกรอบประตูเข้ามาสู่ใจกลางตาพายุ อย่างที่เขาเบียดตัวเองเข้ามาในชีวิตฉันเมื่อหนึ่งปีกับอีกแปดเดือนก่อน และมาได้ผิดจังหวะอย่างน่าสะพรึง
“ลิน่า” ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงแม่เรียก
เพียงสองก้าวเขาก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน เอื้อมมือข้ามโต๊ะฉันมา ก่อนทิ้งกองกระดาษตั้งหนึ่งลงบนโต๊ะ
เขากำลังทำอะไรเนี่ย
เราไม่เข้าห้องทำงานของกันและกัน เราไม่เคยต้องไป อยากไป หรือสนใจจะไป
ดวงตาสีฟ้าที่มีสายตาเยียบเย็นคู่นั้นของเขามองมาที่ฉัน ตามมาด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ราวกับเขากำลังสงสัยว่าทำไมฉันถึงดูเหมือนผู้หญิงที่กำลังเผชิญกับวิกฤตร้ายแรงถึงชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันกำลังเจออยู่จริงๆ การติดอยู่ในคำโกหกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการโกหกเสียอีก หลังผ่านไปแค่สองวินาทีสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นช็อกสุดขีด ฉันเห็นแววตัดสินในดวงตาของเขา
ในบรรดาคนอีกมากมายที่อาจเดินเข้ามาในห้องทำงานของฉันตอนนี้ได้ มันต้องเป็นเขาสิน่า
ทำไมคะ พระเจ้า ทำไม
“แอรอน” ฉันได้ยินเสียงตัวเองพูดอย่างเจ็บปวด
ฉันรู้สึกตัวรางๆ เมื่อแม่ย้ำชื่อเขาเพราะอะไรสักอย่าง “แอรอนเหรอ”
“ใช่ค่ะ” ฉันพึมพำภาษาสเปน สายตาประสานกับเขา เขาต้องการบ้าอะไรเนี่ย
“โอเค” แม่ตอบ
โอเคเรอะ
ตาฉันโตขึ้น “อะไรนะคะ”
แอรอนที่ได้ยินคำภาษาสเปนปะติดปะต่อเรื่องเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดายซึ่งฉันไม่ควรประหลาดใจเลย