The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน
ทดลองอ่าน The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน บทที่ 4
ฉันเลื่อนสายตาไปตามพื้นผิวของโต๊ะไม้จนเจอเข้ากับเอกสารที่ว่า แล้วฉันก็ยิ่งรู้สึกเป็นยายคนทุเรศหนักกว่าเดิม
อารมณ์นั้นปั่นป่วนอยู่ในท้อง กลายเป็นบางอย่างที่ใกล้เคียงกับความสิ้นหวังจนฉันแทบไม่มีทางรู้สึกดีขึ้นได้
“ขอบคุณ” ฉันพึมพำพลางใช้นิ้วนวดขมับและหลับตา “คุณแค่ส่งอีเมลมาก็ได้” บางทีถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้ได้
“คุณไฮไลต์ทุกอย่างด้วยมือนี่นา”
ก็จริง เวลาที่ฉันต้องการมีสมาธิกับอะไรบางอย่างอย่างเต็มที่ฉันจำเป็นต้องพริ้นต์ใส่กระดาษออกมาแล้วอ่านพร้อมปากกาไฮไลต์ในมือ แต่เขารู้…โอย ให้ตาย ไม่สำคัญหรอกว่าแอรอนจะสังเกตด้วย เขาอาจรู้เพราะมันเป็นการสิ้นเปลืองกระดาษหรือไม่ก็ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ดี และนั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าฉันยังคงเป็นไอ้คนทุเรศที่ไปตะคอกใส่เขาแบบนั้น
“คุณพูดถูก ฉันชอบทำแบบนั้น นั่นมัน…” เสียงฉันแผ่วลงจนหายไป สายตายังคงจ้องโต๊ะ “คุณใจดีมาก ฉันจะอ่านช่วงสุดสัปดาห์นี้ค่ะ”
ฉันเอื้อมไปหยิบเอกสารปึกบางนั้นมาวางตรงหน้าตัวเองโดยที่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเขา
เวลาผ่านไปนานโดยที่เราทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ฉันรู้สึกได้ว่าแอรอนยังยืนเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาแค่ก้มลงมองฉันโดยไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้น ฉันจึงตรึงสายตาไว้บนกระดาษที่เขาใจดีพริ้นต์มาให้
อึดใจอันยาวนานนั้นชักจะเริ่มยืดเยื้อจนกลายเป็นช่วงเวลาชวนอึดอัดอย่างแรง แต่ก่อนที่ฉันจะพ่ายแพ้ให้กับสงครามประหลาดนี้แล้วเงยหน้าขึ้นเพียงเสี้ยววิ ฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาไปแล้ว ฉันรออยู่หนึ่งนาทีเต็มจนกระทั่งแน่ใจว่าเขาไปแล้วจริงๆ…ฉันก็ปลดปล่อยออกมา
หัวฉันกระแทกลงบนโต๊ะดังตุ้บเบาๆ ไม่สิ ไม่ใช่โต๊ะ หัวฉันร่วงลงไปบนกองเอกสารที่แอรอนใจดีเอามาให้ก่อนที่ฉันจะพลาดทำเรื่องโง่ๆ โดยบอกแม่ออกไปว่าชื่อแฟนหนุ่มในจินตนาการของฉันคือแอรอน
เสียงครางเล็ดลอดจากปากฉัน เป็นเสียงที่น่าเกลียดซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม
เหมือนอย่างที่ฉันเป็น
ฉันเอาหัวกระแทกโต๊ะเบาๆ “โง่”
ปึ้ก
“โง่ เง่า ปัญญานิ่ม ขี้โกหก”
ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก
นี่มันเลวร้ายที่สุดของที่สุดเลย ฉันไม่ได้เป็นแค่ไอ้คนงี่เง่า แต่ยังเป็นไอ้คนงี่เง่าขี้ปดด้วย
เมื่อสำนึกได้ถึงข้อนั้น ฉันก็ร้องครางออกมาอีกหน
“โอ้โห” เสียงดังมาจากประตู เป็นเสียงของโรซี
ก็ดี ฉันต้องการใครสักคนที่ไว้ใจได้มาช่วยพาฉันออกไปจากความบ้าบอที่ฉันยัดเยียดให้ตัวเองนี้และจับฉันส่งเข้าโรงพยาบาลทางจิตที่ใกล้ที่สุดอยู่พอดี จะไว้ใจให้ฉันทำตัวเป็น…ผู้ใหญ่กับเขาไม่ได้
“ทุกอย่างโอเคไหม ลิน่า”
ไม่เลย
ไม่มีอะไรที่ฉันเพิ่งทำลงไปแล้วสามารถบอกว่าโอเคได้เลย
“เดี๋ยวๆๆ” โรซีสะบัดมือขึ้นระหว่างเราเป็นสัญญาณสากลบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ “เธอบอกแม่ว่าไงนะ”
ฉันทำตาขวางใส่เธอพลางเขมือบพาสตรามีปานีนี* ที่เหลือลงไป “เธอก็รู้ว่าฉันพูดอะไรไป” ฉันบอกเธอโดยไม่สนว่าอาหารยังเต็มปากอยู่
“ฉันแค่อยากได้ยินท่อนสุดท้ายนั่นอีกที” โรซีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ “รู้อะไรไหม เอาใหม่ตั้งแต่ต้นอีกทีซิ ฉันต้องพลาดอะไรไปแน่ๆ เพราะเรื่องทั้งหมดนี้มันฟังดูออกจะเกินไปหน่อย ถึงจะเป็นเธอก็เถอะ”
ฉันหรี่ตามองโรซีแล้วฉีกยิ้มเห็นฟันดูเสแสร้งส่งไปให้ ซึ่งฉันมั่นใจว่ามีเศษปานีนีติดอยู่
ฉันไม่สนว่าจะมีใครในพื้นที่ทำงานส่วนรวมบนชั้นสิบห้าที่เรากำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่นี้เห็นฉันเข้า ช่วงเวลานี้ไม่ค่อยมีคนอยู่ที่ชั้นนี้มากนักอยู่แล้ว ต้องยกให้บริษัทในนิวยอร์กเลยที่ยอมทุ่มพื้นที่กว้างและเงินมากขนาดนี้ เพราะการตกแต่งนี่มาจากดินแดนฮิปสเตอร์ชัดๆ ให้เป็นพื้นที่ทำงานส่วนรวมสำหรับคนบ้างานทั้งหลายที่ใช้เพียงแค่ตอนพักกินอาหารกลางวันเท่านั้น จนถึงตอนนี้มีคนนั่งที่โต๊ะทางขวาของฉันไม่เกินสองโต๊ะ และแน่นอนว่าต้องเป็นโต๊ะที่ใกล้หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานดูยิ่งใหญ่นั้นมากที่สุด
“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ” เพื่อนของฉันทำปากยื่นใส่ “และขอร้อง ฉันรักเธอนะ แต่นั่นไม่ได้ดูดีเลย ฉันเห็น…ผักกาดหอมห้อยออกมาจากปากเธอด้วย”
ฉันกลอกตา เคี้ยว แล้วในที่สุดก็กลืนอาหารที่อยู่เต็มปากลงไป
ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ อาหารไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ฉันดีขึ้นแม้แต่น้อย ก้อนวิตกที่เต้นตุบๆ นี้ยังคงเรียกร้องขออาหารต่อไป
“ฉันน่าจะสั่งปานีนีชิ้นที่สอง” ถ้าเป็นวันอื่นฉันคงสั่งไปแล้ว แต่งานแต่งกำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้า และฉันก็พยายามคุมอาหารอยู่
“ใช่ แล้วก็สิ่งอื่นที่เธอควรทำด้วยน่ะ คือการบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับฉันก่อนไง” เสียงของโรซีนุ่มนวลเหมือนทุกอย่างที่เธอเป็น หากแต่น้ำหนักเบื้องหลังถ้อยคำนั้นกลับทิ่มแทงผิวฉันไม่ต่างกัน “แบบว่า ตั้งแต่ตอนที่เธอตัดสินใจกุเรื่องแฟนขึ้นมาน่ะ”
ฉันสมควรโดนแล้ว ฉันรู้ว่าโรซีต้องเล่นงานฉัน…อย่างอ่อนหวาน ทันทีที่เธอรู้ว่าฉันปิดบังเรื่องที่ ‘ฉันโกหกครอบครัวตัวเองว่าอยู่ในวงการคนมีคู่แล้ว’ ทั้งหมดนั่นกับเธอ
“ฉันขอโทษ” ฉันเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปจับมือเธอ “ฉันขอโทษ โรซาลิน เกรแฮม ฉันไม่ควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับเธอเลย”
“ใช่ เธอไม่ควร” เธอทำหน้ามุ่ยอีกหน่อย
“ขอแก้ตัวนะ ที่จริงฉันจะบอกเธอตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แต่เราดันโดนคนที่เธอก็รู้ว่าใครมาขัดจังหวะเข้าซะก่อน” ฉันจะไม่พูดชื่อเขาออกมาดังๆ หรอก เพราะเขาชอบโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เวลาฉันเอ่ยชื่อเขา ฉันบีบมือโรซี “และเพื่อเป็นการชดเชย ฉันจะขอให้คุณยายของฉันจุดเทียนถวายเทพองค์หนึ่งของคุณยายให้ เธอจะได้มีลูกดกนะ”
โรซีถอนหายใจ แกล้งทำเป็นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง “ก็ได้ ฉันยอมรับคำขอโทษของเธอ” เธอบีบมือกลับ “แต่แทนที่จะลูกดก ฉันอาจจะขอเป็นการแนะนำฉันให้กับลูกพี่ลูกน้องของเธอสักคนน่าจะดีกว่า”
ฉันผงะถอย ความตื่นตะลึงสลักอยู่บนใบหน้า “แนะนำอะไรของฉันนะ”
ขณะที่ฉันเฝ้าดูสีชมพูระเรื่อค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนแก้มของโรซีนั้น ความประหลาดใจของฉันก็รังแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเธอพูดว่า “คนที่เล่นเซิร์ฟแล้วก็เลี้ยงหมาพันธุ์เบลเยียมเชพเพิร์ดน่ะ เขาแบบว่ามีเสน่ห์ดี”
“มีเสน่ห์เรอะ” ไม่มีลูกพี่ลูกน้องป่าเถื่อนของฉันคนไหนที่จะเรียกว่า ‘มีเสน่ห์’ ได้เลย
แก้มของโรซีเปลี่ยนเป็นสีแดงที่เข้มขึ้น
เพื่อนของฉันรู้จักหนึ่งในสมาชิกตระกูลมาร์ตินได้ยังไงวะ เว้นก็แต่…
“ลูกัสเหรอ” ฉันละล่ำละลัก นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าฉันเคยเอาสตอรี่ในอินสตาแกรมของเขาให้โรซีดูนิดหน่อย แต่ทั้งหมดก็เพราะทาโก้ หมาของเขา ไม่ใช่เพราะเขา “ลูกัส คนที่ไถหัวเกรียนน่ะนะ?”
เพื่อนฉันพยักหน้าอย่างสบายๆ พลางยักไหล่