The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน
ทดลองอ่าน The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน บทที่ 4
“เธอดีเกินไปสำหรับลูกัส” ฉันขู่ฟ่อ “แต่ฉันจะให้เธอมีส่วนร่วมตอนลักพาตัวหมาของเขาแล้วกัน ทาโก้ก็ดีเกินไปสำหรับหมอนั่นเหมือนกัน”
“ทาโก้” โรซีหัวเราะคิกคัก “ชื่อน่าเอ็นดูจัง”
“โรซี ไม่นะ” ฉันชักมือกลับแล้วเอื้อมไปคว้าขวดน้ำ “อย่า”
“อย่าอะไร” รอยยิ้มของโรซียังคงค้างอยู่บนริมฝีปากขณะที่เธอคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของฉัน ฉันเดานะ ในแบบที่…
“อย่า อี๋ แหวะ แม่สาวน้อย หมอนั่นมันดิบเถื่อน กักขฬะ เขาไม่มีมารยาทเลยสักนิด เลิกฝันกลางวันถึงลูกพี่ลูกน้องฉันได้แล้ว” ฉันกระดกน้ำล้างปากหนึ่งอึก “หยุด ไม่งั้นฉันคงต้องเล่าเรื่องสยองขวัญสมัยเด็กของฉันให้ฟัง แล้วระหว่างนั้นฉันก็อาจจะทำลายภาพจำผู้ชายในสายตาเธอไปเลย”
ไหล่ของเพื่อนฉันตกลง “ถ้าเธอต้องทำจริงๆ ล่ะก็นะ…ใช่ว่ามันจะช่วยได้อยู่แล้วในกรณีของฉัน ฉันไม่คิดว่าฉันต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในเรื่องนั้นหรอก” เธอหยุดพูดแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย ทำให้ฉันอยากเอื้อมมือออกไปอีกครั้งและบอกเธอว่าเจ้าชายของเธอจะต้องโผล่มาในที่สุด เธอแค่ต้องหยุดเลือกแต่คนเฮงซวยสักที รวมถึงญาติของฉันด้วย “แต่ก่อนหน้านั้นเราคุยกันเรื่องสยองขวัญของเธอได้นะ”
โอ เรื่องนั้น
“ฉันบอกเธอไปหมดแล้ว” สายตาฉันหลุบลงมองมือตัวเองที่กำลังเล่นฉลากยี่ห้อบนขวดน้ำ “ฉันเล่าให้เธอฟังฉากต่อฉากเลย ตั้งแต่วินาทีที่ฉันโพล่งบอกพ่อแม่ไปว่าฉันกำลังคบกับผู้ชายที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงไปจนถึงวินาทีที่ฉันทำให้แม่เชื่อได้ยังไงก็ไม่รู้ว่าชื่อของเขาคือแอรอน เพราะไอ้คนทุเรศตาสีฟ้าคนหนึ่งดันโผล่มาจากไหนไม่รู้” ฉันแกะแรงขึ้น ฉีกฉลากยี่ห้อออกจากผิวพลาสติกรวดเดียว “เธออยากรู้อะไรอีกล่ะ”
“โอเค พวกนั้นคือข้อเท็จจริง แต่เธอคิดอะไรอยู่ล่ะ”
“ตอนนี้น่ะเหรอ” ฉันถาม ซึ่งโรซีก็พยักหน้า “คิดว่าเราน่าจะเอาของหวานมาด้วย”
“ลิน่า…” โรซีเท้าแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วทิ้งน้ำหนักลงไป “เธอก็รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” เธอชำเลืองมองฉันด้วยสายตาคมกริบ ซึ่งพอเป็นโรซีแล้ว นั่นหมายถึงนิ่งมองอย่างใจเย็นแต่ปราศจากรอยยิ้ม หรืออาจจะยิ้มน้อยกว่ารอยยิ้มปกติ “เธอจะทำยังไงกับเรื่องทั้งหมดนี้”
ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า
ฉันยักไหล่ ปล่อยให้สายตาล่องลอยไปทั่วพื้นที่ทำงานส่วนรวมนี้ มองดูโต๊ะโรงอาหารเก่าๆ ลอกร่อนและต้นเฟิร์นที่ห้อยประดับผนังอิฐสีแดงทางซ้ายมือ
“ฉันจะไม่สนใจเรื่องนี้จนกว่าเครื่องบินของฉันจะแตะแผ่นดินสเปน และฉันต้องอธิบายว่าทำไมแฟนหนุ่มของฉันถึงไม่มาด้วยล่ะมั้ง”
“ที่รัก แน่ใจนะว่าอยากทำแบบนั้น”
“ไม่” ฉันส่ายหน้า “แน่” ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมขมับ พยายามนวดอาการปวดหัวที่กำลังเริ่มต้นขึ้นนี้ออกไป “ฉันไม่รู้”
ดูเหมือนโรซีจะใช้เวลาในการทำความเข้าใจอยู่นาน “ถ้าเธอลองเก็บเขาไปพิจารณาดูจริงๆ ล่ะ”
มือของฉันตกลงจากขมับไปอยู่บนโต๊ะไม้ และท้องไส้ของฉันก็ร่วงลงไปแทบเท้า “เก็บใครไปคิดนะ”
ฉันรู้ว่าใคร ฉันแค่ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเสนอออกมาด้วยซ้ำ
โรซีเล่นตามน้ำด้วยการตอบว่า “แอรอน”
“อ้อ ลูกชายคนโปรดของลูซิเฟอร์น่ะเรอะ ฉันไม่เห็นว่าฉันควรจะเก็บเขาไปคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น”
ฉันหรี่ตาใส่โรซี เมื่อเห็นเธอประสานมือไว้ด้วยกันบนโต๊ะราวกับเตรียมตัวจะเจรจาต่อรองทางธุรกิจ
“ฉันไม่คิดว่าแอรอนจะเลวร้ายอะไรขนาดนั้นนะ” เธอกล้าที่จะพูดออกมา
ฉันสูดลมหายใจเข้าทางปากเสียงดังอย่างโอเวอร์
เพื่อนฉันกลอกตา ไม่เชื่อท่าทางเสแสร้งของฉัน “โอเค เขาก็…ไร้อารมณ์หน่อยๆ แล้วก็จริงจังกับทุกเรื่องมากไปนิด” เธอชี้ให้เห็น ราวกับการใช้คำว่านิดกับหน่อยจะช่วยให้เขาดูดีขึ้นมาได้งั้นแหละ “แต่เขาก็มีข้อดีนะ”
“ข้อดีเรอะ” ฉันพ่นลมอย่างดูถูก “เช่นอะไร จิตใจสแตนเลสสตีลของเขาเรอะ”
มุกนั้นไร้ซึ่งการตอบสนองอย่างสิ้นเชิง แหงล่ะ นั่นหมายความว่าโรซีกำลังจริงจัง
“การคุยกับเขาเรื่องที่เขาเสนอให้เธอนี่มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะจะว่าไปเขาก็เป็นคนเสนอตัวเองนี่นา”
ใช่ มันต้องแย่อยู่แล้วสิ เพราะฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเขาถึงเสนอตัวมาตั้งแต่แรก
“เธอก็รู้ว่าฉันคิดกับเขายังไง โรซี” ฉันบอกเพื่อนด้วยท่าทางจริงจัง “เธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ว่าเขาพูดอะไร”
เพื่อนของฉันถอนหายใจ “นั่นมันนานมาแล้ว ลิน่า”
“ก็ใช่” ฉันยอมรับพลางหลบสายตา “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะลืม ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้มันจะหายไปแล้วเพียงเพราะมันเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนนะ”
“นั่นมันปีกว่ามาแล้ว”
“ยี่สิบเดือน” ฉันรีบแก้คำของเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าจะปิดบังได้ว่าฉันคอยนับอยู่ “นั่นเกือบสองปีแล้ว” ฉันงึมงำพลางก้มลงมองกระดาษห่ออาหารกลางวันยับยู่ยี่ของตัวเอง
“นั่นแหละที่ฉันจะบอก ลิน่า” โรซีเอ่ยเสียงค่อย “ฉันเคยเห็นเธอให้โอกาสคนที่ทำพลาดเยอะกว่านี้ตั้งสอง สาม สี่ครั้ง บางคนถึงขั้นพลาดแล้วพลาดอีก”
เธอพูดถูก แต่ฉันเป็นลูกสาวของแม่ ดังนั้นจึงดื้อด้านเสียยิ่งกว่าอะไร “มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง”
“ยังงั้นแหละ”
ดวงตาสีเขียวของโรซีแข็งกร้าวขึ้น เธอไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เธอจะบังคับให้ฉันพูดออกมาให้ได้ และเราจะต้องคุยกันเรื่องนี้
ก็ได้
“งั้นเพราะอย่างนี้เป็นไง เขาบอกหัวหน้าเราว่าเขาขอทำงานกับคนอื่น ใครก็ได้ในอินเทค ในวันที่สองที่เขาเข้ามาทำงานน่ะ” ฉันรู้สึกเลือดขึ้นหน้าเมื่อหวนนึกถึงความทรงจำนั้น “คำสำคัญอยู่ที่ ‘ใครก็ได้’ แม้แต่เจอรัลด์ ให้ตายเถอะ” ฉันไม่ได้ยินแอรอนเอ่ยถึงเจอรัลด์โดยเฉพาะหรอก แต่ฉันแน่ใจว่าได้ยินอย่างอื่นครบถ้วน
‘ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ เจฟฟ์ ขอแค่ไม่ใช่เธอ ผมไม่คิดว่าผมจะทนได้หรอก นี่เธอจะดูแลโครงการนี้ได้จริงเหรอ เธอดูเด็กและไร้ประสบการณ์เหลือเกิน’
แอรอนบอกกับหัวหน้าของเราแบบนั้นทางโทรศัพท์ ฉันบังเอิญเดินผ่านห้องทำงานของเขาพอดีจึงได้ยินเข้าโดยไม่ตั้งใจและจะไม่มีวันลืม มันสลักลึกอยู่ในความทรงจำฉันเลยล่ะ
“เขารู้จักฉันได้สองวัน โรซี สองวัน” ฉันชูนิ้วชี้และนิ้วกลาง “แล้วเขาก็เพิ่งมาใหม่ เขามาที่นี่และดูถูกฉันให้หัวหน้าของเราฟัง เตะฉันออกจากโครงการแบบอ้อมๆ และตั้งข้อสงสัยในความเป็นมืออาชีพของฉัน เพื่ออะไร เพราะเขาไม่ชอบฉันหลังจากที่เราคุยกันได้สองนาทีน่ะเรอะ เพราะฉันดูเด็กงั้นเรอะ เพราะฉันยิ้ม หัวเราะ และไม่ได้ทำตัวเป็นหุ่นยนต์หรือไง ฉันทุ่มเททำงานหนัก ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อมาถึงจุดนี้ เธอก็รู้ว่าความเห็นแบบนั้นทำอะไรได้บ้าง” ฉันรู้สึกว่าเสียงของฉันแหลมสูง เช่นเดียวกันกับความดันโลหิตของฉันที่เวลานี้เต้นตุบขึ้นมาที่ขมับแล้ว
ฉันปลดปล่อยลมหายใจที่สั่นไหว พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
โรซีพยักหน้า มองฉันด้วยความเข้าใจอย่างที่มีเพียงเพื่อนที่ดีเท่านั้นที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีอะไรอื่นด้วยเช่นกัน แล้วฉันก็สัมผัสได้ว่าฉันจะต้องไม่ชอบอะไรก็ตามที่เธอกำลังจะพูดต่อไปนี้
“ฉันเข้าใจ จริงๆ นะ สาบาน” เธอยิ้ม
โอเค ดีแล้ว ฉันต้องการให้เธออยู่ข้างฉัน และฉันก็รู้ว่าเธออยู่ข้างฉัน
ฉันมองดูโรซีเดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างๆ จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับฉัน
โอ๊ะโอ นี่ชักจะไม่ดีเท่าไรแล้ว
โรซีวางมือลงบนหลังฉันก่อนเอ่ยต่อ “ฉันเกลียดที่จะต้องเตือนความจำเธอเรื่องนี้ แต่เธอไม่ได้อยากอยู่ในโครงการกรีนโซลาร์ด้วยซ้ำ จำได้ไหมว่าเธอบ่นเรื่องลูกค้าคนนั้นขนาดไหน”
แน่นอนว่าฉันดันไปหาเพื่อนที่แทบจะมีความจำแบบรูปภาพเป็นเลิศสิน่า ซึ่งแน่นอนว่าเธอต้องจำได้ว่าฉันดีใจแค่ไหนที่โดนย้ายไปทำอีกโครงการหนึ่ง
“แล้วก็” โรซีพูดต่อ “อย่างที่เธอบอกเอง แอรอนไม่ได้รู้จักเธอ”
ถูกเผง เขาไม่สนใจที่จะทำความรู้จักกันก่อนตัดสินใจแขวนป้ายตัวถ่วงให้ฉัน แถมยังด่าฉันให้เจ้านายของเราฟังด้วยซ้ำ
ฉันกอดอก “เธอตั้งใจจะพูดอะไร โรซาลิน”
“ที่ฉันจะพูดก็คือ แน่นอน เขาตัดสินเธอจากเวลาแค่สองวัน” เธอตบหลังฉันเบาๆ “แต่เธอก็อาจดู…เล่นๆ นิดหน่อย ดูผ่อนคลาย หุนหันพลันแล่น บางครั้งก็เสียงดังเหมือนกัน”
เสียงท้วงของฉันดังไปไกลถึงสเปน “ว่าไงนะ”
ฉันหายใจเข้าทางปากเสียงดัง
แม่งเอ๊ย
“ฉันรักเธอนะ ที่รัก” เพื่อนของฉันยิ้มอย่างอบอุ่น “แต่มันเป็นความจริง” ฉันอ้าปาก แต่เธอไม่ปล่อยให้ฉันได้มีโอกาสพูด “เธอเป็นพนักงานที่ทำงานหนักที่สุดคนหนึ่งของที่นี่ แล้วเธอก็ทำงานตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็สร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุกสนานผ่อนคลายได้ เพราะอย่างนี้เธอถึงได้เป็นหัวหน้าทีม”
“โอเค ฉันชอบทิศทางนี้มากกว่าเยอะเลย” ฉันพึมพำ “ว่าต่อสิ”
“แต่แอรอนไม่มีทางรู้เรื่องนั้นได้”
ฉันตาโต “นี่เธอปกป้องเขาเรอะ ฉันต้องเตือนเธอหรือเปล่าว่าเราควรเกลียดศัตรูและคู่อาฆาตของกันและกันด้วยในฐานะเพื่อนน่ะ เธออยากให้ฉันพริ้นต์สำเนาคู่มือเพื่อนรักให้ไหม”
“ลิน่า” โรซีส่ายหน้าไปมาและดูหงุดหงิด “จริงจังสักนาทีเถอะ”
ฉันหยุดเล่นทันที นั่งสลดอยู่บนเก้าอี้ “โอเค ก็ได้ โทษที ว่าต่อเลย”
“ฉันแค่คิดว่าเธอเจ็บใจ ซึ่งก็เข้าใจได้ และนั่นก็กวนใจเธอมากพอที่จะทำให้เธอไม่ไยดีเขามานานขนาดนี้”
ใช่ ฉันทั้งเดือดดาลและเจ็บใจด้วย สิ่งหนึ่งที่ฉันเกลียดคือคนที่ตัดสินคนอื่นจากความรู้สึกอันตื้นเขิน และแอรอนก็ทำเช่นนั้น โดยเฉพาะหลังจากที่ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะต้อนรับเขาเข้าแผนกด้วยเจตนาอันดีที่สุดและเป็นมิตรที่สุด ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะโผล่ไปห้องทำงานเขาพร้อมของขวัญต้อนรับงี่เง่านั่น มันเป็นแก้วเซรามิกที่มีข้อความตลกๆ เกี่ยวกับการเป็นวิศวกร จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ฉันไม่เคยทำแบบนั้นกับคนอื่น แล้วตาแอรอนทำอะไรน่ะหรือ เขาแค่มองมันด้วยความพรั่นพรึงแล้วอ้าปากค้างใส่ฉัน ราวกับว่าฉันมีหัวที่สองงอกออกมาระหว่างที่ฉันเล่นมุกเหมือนเป็นยายงั่งจอมเงอะงะ
ดังนั้นการบังเอิญไปได้ยินเขาพูดถึงฉันภายในเวลาไม่ถึงสองวันหลังจากนั้นมัน…มันแค่ทำให้ฉันรู้สึกตัวเล็กและน่าสมเพชมากยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนฉันโดนเขี่ยทิ้งหลังจากทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ
“ฉันจะถือว่าความเงียบของเธอเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ฉันพูดไปนะ” โรซีบอกพลางบีบไหล่ฉัน “เธอเจ็บใจ และนั่นก็โอเค ที่รัก แต่มันเป็นเหตุผลที่มากพอที่จะทำให้เธอเกลียดเขาไปตลอดกาลเลยงั้นเหรอ”
ฉันอยากตอบว่าใช่ แต่ ณ จุดนี้ฉันไม่รู้อีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจึงหันไปหาอย่างอื่นแทน “มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะพยายามเป็นเพื่อนกับฉันหรืออะไรสักหน่อย เขาคอยขัดแข้งขัดขาฉันมาตลอดเลย”
ยกเว้นกราโนล่าบาร์ทำเองที่ช่วยชีวิตฉันไว้แท่งนั้น แล้วก็เอกสารพวกนั้นที่เขาพริ้นต์ออกมาให้ฉันทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้ แหงล่ะ
แล้วก็อาจมีความจริงที่ว่าเขาอยู่ที่บริษัทจนดึกเพื่อลุยงานวันเปิดบ้านกับฉันเมื่อวันพุธที่แล้ว
ก็ได้ โอเค เขาคอยขัดแข้งขัดขาฉันมาตลอด ยกเว้นสามเหตุการณ์นี้แหละ