everY
ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 1 – บทที่ 2 #นิยายวาย
รูฟัส เอเมเทริโอ
1:05 น.
เดธแคสต์โทรมาตอนผมกำลังซ้อมแฟนใหม่ของแฟนเก่าผมแบบเอาให้ถึงตาย ผมยังอยู่บนตัวมันอยู่เลย ใช้เข่ากดไหล่มันไว้ เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยังไม่เหวี่ยงหมัดใส่ตามันอีกรอบคือเสียงริงโทนที่ดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงของผม เสียงดังของริงโทนจากเดธแคสต์ที่ทุกคนรู้จักดีโคตรๆ ทั้งจากประสบการณ์ตรง ในข่าว หรือพวกโชว์ห่วยๆ ที่ใช้เสียงแจ้งเตือนมาทำเอฟเฟ็กต์ ดึน…ดึน…ดึน ทาโกกับมัลคอล์มเพื่อนผมหยุดร้องเชียร์แล้ว พวกเขาเงียบกริบ ส่วนผมรอให้มือถือของไอ้เวรเพ็คดังขึ้นบ้าง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแค่มือถือผมคนเดียว บางทีสายที่โทรมาบอกว่าผมกำลังจะตายเพิ่งช่วยชีวิตหมอนี่เอาไว้
“นายต้องรับสายนะ รูฟ” ทาโกบอก เมื่อกี้เขากำลังถ่ายคลิปตอนผมอัดเพ็คเพราะเขาเป็นพวกชอบดูคลิปต่อสู้ในเน็ต แต่ตอนนี้เขากลับจ้องมือถือตัวเองเหมือนกลัวว่าจะมีสายถึงเขาเหมือนกัน
“เรื่องไรวะ” ผมพูด ใจเต้นกระหน่ำ มันเต้นเร็วกว่าตอนที่ผมเริ่มเข้าไปหาเพ็คอีก และเร็วกว่าตอนที่ผมต่อยมันหมัดแรกและซัดมันลงไปกองกับพื้น ตาซ้ายของเพ็คบวมปูดแล้ว ส่วนตาขวาของเขาไม่มีอะไรนอกจากความหวาดผวาล้วนๆ สายของเดธแคสต์จะดังถึงตีสาม เพ็คเลยไม่แน่ใจว่าผมจะเอาเขาไปกับผมด้วยไหม
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
มือถือผมหยุดดังแล้ว
“อาจจะโทรผิดก็ได้นะ” มัลคอล์มพูด
มือถือผมดังขึ้นอีกครั้ง
มัลคอล์มไม่พูดอะไรอีก
ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ายังมีหวังหรอก ผมไม่รู้พวกสถิติหรืออะไรแบบนั้นเลย แต่การที่เดธแคสต์โทรผิดไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป แถมบ้านเอเมเทริโอก็ไม่เคยมีโชคเรื่องการมีชีวิตเลยด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องกลับไปหาพระเจ้าก่อนเวลาอันควรล่ะก็ นั่นแหละพวกเราล่ะ
ตัวผมสั่น ความตื่นตระหนกทำเอาหัวผมปวดตึ้บๆ เหมือนมีคนต่อยผมไม่หยุด เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองจะตายยังไง รู้แค่ว่าผมตายแน่ แถมชีวิตที่ผ่านมาของผมก็ไม่ได้ฉายขึ้นมาตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นตอนผมอยู่ในเงื้อมมือของความตายจริงๆ หรอก
เพ็คบิดตัวไปมาใต้ร่างผม ผมเลยง้างหมัดเพื่อให้แม่งอยู่เฉยๆ
“มันอาจจะมีอาวุธก็ได้นะ” มัลคอล์มพูด เขาเป็นหนุ่มตัวใหญ่ประจำกลุ่มของเรา เป็นคนที่คงมีประโยชน์ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนที่พี่สาวผมปลดเข็มขัดนิรภัยไม่ออกขณะที่รถของเราพลิกตกลงไปในแม่น้ำฮัดสัน
ก่อนเดธแคสต์โทรมา ผมกล้าพนันเลยว่าเพ็คไม่มีอาวุธติดตัวหรอก เพราะเราเป็นฝ่ายดักซ้อมตอนเขาเลิกงาน แต่ผมจะไม่เอาชีวิตตัวเองมาเดิมพัน ไม่ใช่แบบนี้ ผมปล่อยมือถือให้ตกลงกับพื้น ก่อนจะตบไปตามตัวเพ็คแล้วพลิกตัวเขา เช็กตรงสายรัดเอวว่ามีมีดพกรึเปล่า ผมลุกขึ้นยืน ส่วนเขายังคงนอนอยู่อย่างนั้น
มัลคอล์มดึงเป้ของเพ็คออกจากใต้ท้องรถสีฟ้าคันหนึ่ง ทาโกโยนมันเข้าไปใต้รถคันนั้นก่อนหน้านี้ เขารูดซิปเปิดแล้วคว่ำเป้ลง หนังสือการ์ตูนเรื่องแบล็ก แพนเธอร์กับฮอว์กอายร่วงลงบนพื้น “ไม่มี”
ทาโกพุ่งมาหาเพ็คและผมมั่นใจว่าเขากำลังจะเตะเพ็คเหมือนหัวมันเป็นลูกฟุตบอล แต่ทาโกหยิบมือถือผมขึ้นมาจากพื้นแล้วรับสาย “จะคุยกับใคร” ไม่มีใครแปลกใจตอนคอเขากระตุก “แป๊บนึงๆ ผมไม่ใช่เขา แป๊บนึง รอเดี๋ยว” เขายื่นมือถือให้ผม “ให้ฉันวางสายไหม รูฟ”
ไม่รู้สิ ผมยังต้องจัดการเพ็คที่ตอนนี้เลือดอาบหน้าและน่วมไปหมดในลานจอดรถของโรงเรียนประถมแห่งนี้ และก็ไม่ใช่ว่าผมจำเป็นต้องรับสายเพื่อดูให้แน่ใจว่าเดธแคสต์ไม่ได้โทรมาบอกว่าผมถูกลอตเตอรี่ ผมคว้ามือถือจากทาโก ทั้งโมโหทั้งสับสน ผมอาจอ้วกด้วยก็ได้ แต่พ่อแม่กับน้องสาวผมไม่ได้อ้วก เพราะงั้นผมก็น่าจะไม่เหมือนกัน
“ดูเขาไว้” ผมบอกทาโกกับมัลคอล์ม พวกเขาพยักหน้า ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นหมาจ่าฝูงได้ยังไง ผมมาลงเอยที่บ้านอุปถัมภ์หลังพวกเขาตั้งหลายปี
ผมเดินห่างออกมาหน่อย อย่างกับความเป็นส่วนตัวมันสำคัญมากงั้นแหละ ผมดูให้แน่ใจว่าตัวเองยืนอยู่ห่างจากแสงที่ส่องมาจากป้ายทางออก ไม่อยากให้ใครเห็นข้อนิ้วเปื้อนเลือดของผมกลางดึกน่ะ “ว่าไงครับ”
“สวัสดีครับ ผมชื่อวิคเตอร์ โทรจากเดธแคสต์ ขอสายรูฟัส เอมมี-เทริโอครับ”
เขาอ่านนามสกุลผมผิด แต่แก้ไปก็เท่านั้นแหละ ไม่เหลือใครให้ใช้นามสกุลนี้อยู่แล้ว “ครับ ผมเอง”
“คุณรูฟัส ผมเสียใจที่ต้องแจ้งให้คุณทราบว่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้…”
“ยี่สิบสามชั่วโมง” ผมขัด และเดินไปมาจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่ง “คุณโทรมาหลังตีหนึ่ง” บ้าบอฉิบ เดกเกอร์คนอื่นได้รับสายตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว บางทีถ้าเดธแคสต์โทรหาผมตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ผมคงไม่มาดักรอเด็กปีหนึ่งที่ดร็อปเรียนอย่างไอ้เพ็คนอกร้านอาหารที่มันทำงานอยู่เพื่อไล่กวดมันมาที่ลานจอดรถนี่หรอก
“ครับ คุณพูดถูกแล้ว ขอโทษด้วยครับ” วิคเตอร์พูด
ผมพยายามเงียบปากไว้เพราะไม่อยากเอาปัญหาตัวเองไปพาลใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่ของเขา ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราแม่งอยากจะไปสมัครตำแหน่งนี้กันตั้งแต่แรกก็เถอะ ลองแกล้งทำเหมือนว่าผมยังมีอนาคตอยู่สักวินาทีสิ ให้ผมได้คลายเครียดหน่อย คือไม่มีทางที่ผมจะตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพูดว่า ‘ฉันว่าจะทำงานกะเที่ยงคืนถึงตีสามที่ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากบอกผู้คนว่าชีวิตของพวกเขาจบแล้ว’ แต่วิคเตอร์กับคนอื่นๆ เลือกที่จะทำงานนี้ ผมไม่อยากได้ยินใครมาบอกว่าอย่าโมโหผู้ส่งสารด้วย โดยเฉพาะตอนที่ผู้ส่งสารคนนั้นโทรมาบอกว่าผมจะตายก่อนหมดวัน
“คุณรูฟัส ผมเสียใจที่ต้องแจ้งให้คุณทราบว่าภายในยี่สิบสามชั่วโมงต่อจากนี้ คุณจะเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร และถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดมันได้ ผมอยากจะแจ้งให้ทราบว่าคุณมีตัวเลือกอะไรบ้าง ก่อนอื่นเลยนะครับ คุณเป็นยังไงบ้าง คุณใช้เวลาพอสมควรเลยกว่าจะรับสาย ทุกอย่างโอเคไหมครับ”
เขาอยากรู้ว่าผมเป็นยังไงบ้างแฮะ แหงสินะ ฟังจากน้ำเสียงไร้อารมณ์ของเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้แคร์ผมไปมากกว่าเดกเกอร์คนอื่นๆ ที่เขาต้องโทรหาคืนนี้หรอก สายพวกนี้คงมีการเฝ้าสังเกตอยู่ เขาเลยไม่อยากตกงานเพราะเร่งคุยให้มันจบๆ ไป
“ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองเป็นไงบ้าง” ผมกำมือถือแน่น จะได้ไม่เขวี้ยงมันใส่กำแพงที่ทาสีเป็นรูปเด็กผิวขาวกับเด็กผิวสีจับมือกันใต้สายรุ้ง ผมมองข้ามไหล่แล้วเห็นว่าเพ็คยังนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นในขณะที่มัลคอล์มกับทาโกจ้องผม พวกเขาควรดูให้แน่ใจว่าเพ็คจะไม่หนีไปก่อนเราจะคิดออกว่าจะทำยังไงกับมันดี “แค่บอกมาเถอะว่าผมมีตัวเลือกอะไรบ้าง” แบบนี้น่าจะโอเค
วิคเตอร์บอกผมเกี่ยวกับพยากรณ์อากาศวันนี้ (ฝนจะตกหลังเที่ยงและหลังจากนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้น) เทศกาลพิเศษที่ผมไม่สนใจจะเข้าร่วมเลยสักนิดเดียว (โดยเฉพาะคลาสโยคะที่ไฮไลน์ ไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ก็เถอะ) การจัดพิธีศพอย่างเป็นทางการ ร้านอาหารที่เดกเกอร์จะได้รับส่วนลดที่ดีที่สุดถ้าผมใช้โค้ดของวันนี้ อย่างอื่นผ่านหูผมไปหมดเพราะผมมัวแต่กังวลว่าช่วงที่เหลืออยู่ของวันสุดท้ายของผมจะออกมาเป็นยังไง
“คุณรู้ได้ยังไงน่ะ” ผมขัด บางทีผู้ชายคนนี้อาจสงสารผมและผมจะได้บอกทาโกกับมัลคอล์มเกี่ยวกับปริศนาอันยิ่งใหญ่นี้สักที “วันสุดท้ายของพวกเราน่ะ คุณรู้ได้ยังไง มีลิสต์บอกเหรอ หรือใช้ลูกแก้วคริสตัล หรือปฏิทินในอนาคต” ทุกคนต่างพากันคาดเดาว่าเดธแคสต์รับรู้ข้อมูลที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาลแบบนี้ได้ยังไง ทาโกเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับทฤษฎีประหลาดๆ ที่เขาอ่านเจอในเน็ต อย่างเดธแคสต์ไปปรึกษาคนทรงเทพๆ หรือทฤษฎีบ้าๆ บอๆ อย่างรัฐบาลล่ามเอเลี่ยนไว้ในอ่างน้ำและบังคับให้มันคอยรายงานวันสุดท้ายของทุกคน ทฤษฎีนั้นมีอะไรผิดเพี้ยนเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามานั่งให้ความเห็นเรื่องนี้หรอก
“เกรงว่าผู้แจ้งข่าวก็ไม่สามารถรู้ข้อมูลนั้นได้ครับ” วิคเตอร์บอก “พวกเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ข้อมูลที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อทำหน้าที่ของเราน่ะครับ” เป็นคำตอบเรียบๆ อีกอัน ให้ผมพนันด้วยอะไรก็ได้ว่าเขารู้แต่บอกไม่ได้ถ้ายังไม่อยากตกงาน
ช่างหมอนี่เถอะ “เฮ้ วิคเตอร์ ช่วยทำตัวเหมือนมนุษย์ปกติสักนาทีได้ไหม ไม่รู้ว่าคุณรู้รึเปล่านะ แต่ผมอายุสิบเจ็ด อีกสามสัปดาห์จะถึงวันเกิดปีที่สิบแปดของผม คุณไม่ฉุนหน่อยเหรอที่ผมจะไม่มีวันได้เข้ามหา’ลัย หรือแต่งงาน หรือมีลูก หรือได้ท่องเที่ยว คงไม่สินะ คุณแค่กำลังนั่งชิลบนบัลลังก์น้อยๆ ในออฟฟิศน้อยๆ ของคุณเพราะคุณรู้ว่าตัวเองยังมีเวลาอีกเป็นสิบๆ ปีรออยู่ใช่ไหมล่ะ”
วิคเตอร์กระแอม “อยากให้ผมทำตัวเหมือนมนุษย์ปกติเหรอครับ คุณรูฟัส อยากให้ผมลุกออกจากบัลลังก์ของผมและพูดความจริงกับคุณใช่ไหม ได้ครับ เมื่อชั่วโมงที่แล้วผมเพิ่งวางสายจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องไห้ฟูมฟายเพราะเธอจะไม่มีวันได้เป็นแม่อีกหลังจากที่ลูกสาวของเธอต้องตายวันนี้ เธออ้อนวอนให้ผมบอกวิธีช่วยชีวิตลูกสาวของเธอ แต่ไม่มีใครมีอำนาจนั้นหรอก ทีนี้ผมเลยต้องส่งคำร้องไปที่สำนักงานเยาวชนให้ส่งตำรวจไปเพราะแม่ของเด็กสาวคนนั้นอาจเป็นคนทำให้เธอตายก็ได้ ซึ่งเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดที่ผมเคยทำมาตั้งแต่ทำงานนี้ คุณรูฟัส ผมเสียใจกับคุณนะ ผมพูดจริงๆ แต่การตายของคุณไม่ใช่ความผิดของผม และแย่หน่อยที่คืนนี้ผมยังต้องโทรไปอีกหลายสาย คุณช่วยให้ความร่วมมือกับผมหน่อยได้ไหม”
เชี่ย
ผมให้ความร่วมมือกับเขาตลอดสาย ถึงเขาจะไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องของคนอื่นให้ผมฟังก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเอาแต่คิดเรื่องของแม่คนนั้นกับลูกสาวของเธอที่จะไม่มีวันได้เข้าโรงเรียนที่ตั้งอยู่ข้างหลังผม ก่อนวางสาย วิคเตอร์พูดประโยคที่ผมได้ยินจนชินจากพวกรายการทีวีกับหนังใหม่ๆ ที่เดธแคสต์มีบทบาทในชีวิตประจำวันของตัวละคร “ขอกล่าวแทนทุกคนในเดธแคสต์ว่าพวกเราเสียใจที่คุณต้องจากไป ใช้ชีวิตวันนี้ให้เต็มที่นะครับ”
ผมบอกไม่ได้ว่าใครวางสายก่อน แต่ไม่สำคัญหรอก ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว…ไม่สิ กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม เป็นรูฟัส อาร์มาเก็ดดอน เพียวๆ เลย ผมไม่รู้ว่ามันจะจบลงยังไง ก็ได้แต่ภาวนาว่าผมจะไม่จมน้ำเหมือนพ่อแม่กับพี่สาวผมละกัน เพ็คเป็นคนเดียวที่ผมเล่นงาน จริงๆ นะ เพราะงั้นผมไม่น่าจะถูกยิง แต่ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีปืนมันก็ด้าน จะตายยังไงมันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ผมทำก่อนมันจะเกิดขึ้นหรอก แต่การไม่รู้อะไรเลยแม่งก็ทำผมกลัวอยู่ดี เราตายได้แค่ครั้งเดียวนี่
บางทีเพ็คอาจเป็นคนทำให้ผมตายก็ได้
ผมเดินกลับไปหาสามคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงหลังคอเสื้อเพ็คให้เขาลุกขึ้นและกระแทกเขาใส่กำแพงอิฐ เลือดไหลออกมาจากแผลที่ปริบนหน้าผากของเขา ไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่จะทำผมโมโหจนสติหลุดได้แบบนี้ เขาไม่น่าปากมากพล่ามกับคนอื่นว่าทำไมเอมี่ถึงไม่ต้องการผมอีกแล้ว ถ้าเรื่องมันไม่มาถึงหูผม มือผมคงไม่กำรอบคอเขาอยู่แบบนี้เพื่อทำให้เขากลัวยิ่งกว่าที่ผมรู้สึกอยู่หรอก
“แกไม่ได้ ‘ชนะ’ ฉัน เข้าใจไหม เอมี่ไม่ได้เลิกกับฉันเพราะแก เพราะงั้นเลิกคิดแบบนั้นได้แล้ว ตอนนั้นเธอรักฉันแล้วเรื่องมันก็ซับซ้อน แต่เดี๋ยวเธอก็กลับมาคบกับฉันอยู่ดี” ผมรู้ว่าผมคิดถูก มัลคอล์มกับทาโกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมเอนตัวเข้าหาเพ็ค จ้องลึกเข้าไปในตาข้างที่ยังดีอยู่ของเขา “อย่าให้ฉันได้เห็นหน้าแกอีกไปตลอดชีวิตนะ” เออๆ มีชีวิตเหลืออยู่ไม่มากหรอก แต่หมอนี่แม่งประสาทและอาจทำอะไรแผลงๆ ก็ได้ “เข้าใจไหม”
เพ็คพยักหน้า
ผมปล่อยมือจากคอของเขาแล้วล้วงเอามือถือจากกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา ก่อนจะเหวี่ยงมันใส่กำแพง หน้าจอพังยับ มัลคอล์มกระทืบซ้ำจนเครื่องเละ
“ไสหัวไป”
มัลคอล์มจับบ่าผม “อย่าปล่อยมันไปเลย มันมีพรรคพวกอยู่นะ”
เพ็คไถตัวไปตามกำแพง ท่าทางหวั่นๆ เหมือนเขากำลังไต่ผ่านหน้าต่างบนตึกสูงในเมือง
ผมสะบัดมือมัลคอล์มออกจากบ่า “ฉันบอกว่าไสหัวไป”
เพ็คพุ่งหนีไป เขาวิ่งซิกแซ็กน่ามึนหัว และไม่หันกลับมามองแม้แต่ครั้งเดียวว่าพวกเราตามไปรึเปล่าหรือหยุดเพื่อเก็บหนังสือการ์ตูนกับเป้ของตัวเองก่อน
“ไหนนายบอกว่าเขามีเพื่อนอยู่ในแก๊งไง” มัลคอล์มว่า “ถ้าพวกนั้นมาจัดการนายล่ะ”
“พวกนั้นไม่ใช่แก๊งจริงๆ หรอก แถมหมอนี่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าแก๊งด้วย ฉันไม่มีเหตุผลต้องกลัวแก๊งที่รับเพ็คเข้าอยู่แล้ว เขาโทรหาพวกนั้นหรือเอมี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เราจัดการแล้วนี่” ผมไม่อยากให้เขาติดต่อเอมี่ได้ก่อนผม ผมต้องอธิบายตัวเองกับเธอก่อน ไม่รู้สิ เธออาจไม่อยากเจอผมอีกถ้าเธอรู้ว่าผมทำอะไรลงไป ไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของผมหรือไม่ก็ตาม
“เดธแคสต์ก็โทรหาเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน” ทาโกพูด คอกระตุกสองที
“ฉันไม่ได้จะฆ่าเขาสักหน่อย”
มัลคอล์มกับทาโกเงียบไป พวกเขาเห็นว่าผมซัดเพ็คหนักขนาดไหน เหมือนผมไม่มีปุ่มปิดเลย
ตัวผมสั่นไม่หยุด
ผมอาจฆ่าเขาก็ได้ ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ ผมไม่รู้ว่าจะทนอยู่กับตัวเองได้ไหมถ้าผมเผลอฆ่าเขาจริงๆ เหอะ โกหกชัดๆ และผมรู้ดี ผมแค่พยายามทำเป็นเข้มแข็ง แต่ผมไม่ได้เข้มแข็งเลย ผมแทบทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ที่ตัวเองรอดจากสิ่งที่เอาชีวิตครอบครัวของผมไป…มันไม่ใช่ความผิดของผมด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่มีทางแน่ที่ผมจะสบายใจถ้าไปซ้อมใครเข้าจนตาย
ผมเดินกระแทกเท้าไปที่จักรยานของพวกเรา แฮนด์จักรยานของผมเกี่ยวอยู่กับล้อจักรยานของทาโกตอนที่เราไล่ตามเพ็คมาถึงที่นี่แล้วกระโดดลงจากจักรยานไปเล่นงานเขา “พวกนายจะตามฉันมาไม่ได้” ผมพูดแล้วตั้งจักรยานขึ้น “เข้าใจใช่ไหม”
“ไม่ล่ะ เราจะอยู่กับนาย แค่…”
“ไม่ได้” ผมขัด “ฉันคือระเบิดเวลา และถึงพวกนายจะไม่โดนบึ้มไปด้วยตอนฉันระเบิด พวกนายก็อาจโดนไฟไหม้…อาจเป็นตามนั้นจริงๆ เลยก็ได้นะ”
“นายจะเฉดหัวเราทิ้งไม่ได้” มัลคอล์มพูด “นายไปไหน เราไปด้วย”
ทาโกพยักหน้า แต่หัวเขากระตุกไปทางขวาเหมือนร่างกายของเขาทรยศสัญชาตญาณในการตามติดผมไปทุกที่ เขาพยักหน้าอีกรอบ คราวนี้ไม่กระตุกแล้ว
“พวกนายนี่มันเงาตามตัวชัดๆ” ผมบอก
“เพราะเราเป็นคนผิวสีเหรอ” มัลคอล์มถาม
“เพราะพวกนายเอาแต่ตามฉันตลอดต่างหาก” ผมพูด “ซื่อสัตย์จนวันตาย”
วันตาย
คำนั้นทำพวกเขาเงียบกริบ พวกเราขึ้นจักรยานแล้วขี่ออกไปบนขอบทางเท้า ล้อกระแทกบนถนนขรุขระ นี่ไม่ใช่วันที่ผมควรลืมเอาหมวกกันน็อกมาด้วย
ทาโกกับมัลคอล์มจะอยู่กับผมทั้งวันไม่ได้ ผมรู้ แต่เราคือชาวพลูโต พี่น้องจากบ้านอุปถัมภ์หลังเดียวกัน และเราไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“กลับบ้านกันเถอะ” ผมพูด
เราปั่นจักรยานออกไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…