everY
ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 3 – บทที่ 4 #นิยายวาย
มาเทโอ
1:06 น.
ผมกลับมาที่ห้องนอน…ที่บอกว่าจะไม่ได้กลับมาในนี้อีกน่ะไม่เอาละ…แล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นทันที เหมือนผมเพิ่งได้ชีวิตเพิ่มในวิดีโอเกมที่ตัวบอสด่านสุดท้ายกำลังไล่บี้ผมอยู่ ผมไม่ได้อ่อนเดียงสาเรื่องที่ผมจะตายหรอกนะ ผมรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ไม่เห็นต้องรีบเลยนี่ ผมกำลังซื้อเวลาให้ตัวเอง สิ่งเดียวที่ผมต้องการตอนนี้คือมีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อย และผมมีอำนาจพอที่จะไม่ทำฝันตัวเองสลายโดยการเดินออกไปนอกประตูบานนั้น โดยเฉพาะตอนที่มันดึกขนาดนี้แล้ว
ผมกระโดดขึ้นเตียงด้วยความรู้สึกโล่งใจที่จะรู้สึกได้แค่ตอนที่คุณตื่นจะไปโรงเรียนแล้วนึกได้ว่ามันเป็นวันอาทิตย์เท่านั้น ผมเอาผ้าห่มคลุมไหล่ตัวเอง เปิดแล็ปท็อปอีกรอบ อ่านโพสต์ในเคาต์ดาวน์เนอร์สของเมื่อวานที่ผมอ่านค้างไว้ก่อนเดธแคสต์โทรมาต่อโดยไม่สนใจอีเมลจากเดธแคสต์ที่ส่งใบเสร็จประทับวันและเวลาที่ผมได้รับสายจากแอนเดรีย
เดกเกอร์คนนี้ชื่อคีธ อายุยี่สิบสองปี สถานะที่เขาอัพไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเขามาก นอกจากว่าเขาเป็นคนสันโดษที่ชอบออกไปวิ่งกับเจ้าเทอร์โบ หมาโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของเขา มากกว่าออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนร่วมชั้น เขากำลังหาบ้านใหม่ให้เทอร์โบเพราะเขามั่นใจว่าพ่อของเขาต้องยกมันให้คนแรกที่รับเลี้ยงได้แน่นอน ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้เพราะเทอร์โบเป็นหมาที่สวยมาก ให้ตายสิ ผมคงรับเลี้ยงมันไปแล้วถึงผมจะแพ้ขนหมาขั้นรุนแรงก็เถอะ แต่ก่อนที่คีธจะยกหมาให้คนอื่น เขากับเทอร์โบกำลังวิ่งผ่านสถานที่โปรดต่างๆ ของพวกเขาด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วฟีดก็ไม่อัพเดตอีกตอนพวกเขาอยู่ตรงไหนสักแห่งในเซ็นทรัลพาร์ก
ผมไม่รู้ว่าคีธตายยังไง ไม่รู้ว่าเทอร์โบรอดหรือตายไปพร้อมกับคีธ ไม่รู้ว่าคีธกับเทอร์โบอยากให้เป็นแบบไหนมากกว่ากัน ผมไม่รู้เลย ที่จริงแล้วตอนหน้าฟีดหยุดอัพเดต ผมไปหาอ่านพวกข่าวปล้นชิงทรัพย์หรือข่าวฆาตกรรมในเซ็นทรัลพาร์กที่เกิดขึ้นเมื่อวานประมาณ 17:40 น. ก็ได้นะ แต่เพื่อสุขภาพจิตที่ดี ผมว่าปล่อยให้มันเป็นปริศนาต่อไปดีกว่า ตอนนี้ผมเลยเข้าโฟลเดอร์เพลงและเปิดเล่นเสียงในอวกาศ
เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ทีมของนาซ่าทีมหนึ่งสร้างอุปกรณ์พิเศษขึ้นมาเพื่ออัดเสียงของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ผมรู้น่า มันฟังดูแปลกสำหรับผมเหมือนกัน เพราะหนังทุกเรื่องที่ผมเคยดูก็บอกว่าอวกาศไม่มีเสียง แต่ความจริงแล้วมันมีนะ เพียงแต่เป็นลักษณะการสั่นสะเทือนของแม่เหล็ก นาซ่าปรับเสียงของมันให้มนุษย์สามารถได้ยินได้ และถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะซ่อนตัวอยู่ในห้อง ผมก็บังเอิญเจอเข้ากับสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล…สิ่งที่คนที่ไม่ค่อยตามเทรนด์ในอินเตอร์เน็ตจะพลาดไป เสียงของดาวเคราะห์บางดวงฟังดูอันตราย เป็นเสียงที่คุณจะได้ยินในหนังไซไฟที่มีฉากเป็นโลกต่างดาว เป็น ‘โลกต่างดาว’ แบบโลกที่มีเอเลี่ยน ไม่ใช่โลกอื่นธรรมดาๆ ดาวเนปจูนเสียงเหมือนกระแสน้ำไหลเชี่ยว เสียงของดาวเสาร์มีความโหยหวนน่ากลัวที่ทำเอาผมไม่กลับไปฟังอีก ยูเรนัสก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ยูเรนัสจะมีเสียงหวีดหวิวของลมกระโชกที่ฟังดูเหมือนยานอวกาศหลายลำกำลังยิงเลเซอร์ใส่กันอยู่ด้วย เสียงของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ เป็นตัวเปิดบทสนทนาที่ดีเลยนะถ้าคุณมีคนให้คุยด้วย แต่ถ้าไม่มี เสียงพวกนี้ก็เหมาะเอาไว้เปิดคลอเวลานอน
ผมเบี่ยงเบนความสนใจจากวันสุดท้ายของตัวเองด้วยการอ่านฟีดอื่นๆ ในเคาต์ดาวน์เนอร์สและเปิดเสียงดาวโลกฟังไปด้วย มันทำให้ผมนึกถึงเสียงนกร้องอันปลอบประโลมกับเสียงทุ้มต่ำของวาฬ แต่มันก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ ด้วยเหมือนกัน เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ผมอธิบายออกมาไม่ได้ คล้ายดาวพลูโตที่เสียงเหมือนเปลือกหอยกับเสียงขู่ฟ่อของงู
ผมกลับมาฟังเสียงดาวเนปจูน
รูฟัส
1:18 น.
เราปั่นจักรยานไปพลูโตตอนกลางดึก
‘พลูโต’ คือชื่อที่เราตั้งให้บ้านอุปถัมภ์ที่เราอยู่ด้วยกันเพราะครอบครัวของเราตายหรือไม่ก็ทอดทิ้งเราไป ดาวพลูโตถูกลดขั้นจากดาวเคราะห์เป็นดาวเคราะห์แคระ แต่พวกเราไม่มีวันปฏิบัติต่อกันเหมือนมีใครด้อยกว่า
ผ่านมาสี่เดือนแล้วที่ผมต้องอยู่โดยไม่มีครอบครัว แต่ทาโกกับมัลคอล์มสนิทกันมานานกว่านั้นมาก พ่อแม่ของมัลคอล์มตายในเหตุการณ์บ้านไฟไหม้ฝีมือนักวางเพลิงที่ระบุตัวไม่ได้ และไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม มัลคอล์มก็หวังว่าคนคนนั้นจะมอดไหม้อยู่ในนรกโทษฐานที่พรากพ่อแม่ของเขาไปตอนเขาเป็นแค่เด็กเจ้าปัญหาอายุสิบสามที่ไม่มีใครต้องการนอกจากรัฐบาล แต่รัฐบาลก็แทบไม่ได้ต้องการเขาด้วยซ้ำ แม่ของทาโกทิ้งเขาไปตั้งแต่เขายังเด็ก ส่วนพ่อเขาหนีไปเมื่อสามปีก่อนเพราะดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ไหว หนึ่งเดือนต่อมา ทาโกได้รู้ว่าพ่อของเขาฆ่าตัวตาย และเพื่อนรักของผมยังคงไม่เสียน้ำตาให้พ่อเขาสักหยด เขาไม่เคยถามด้วยซ้ำว่าพ่อเขาตายยังไงหรือที่ไหน
ตั้งแต่ก่อนที่ผมรู้ว่าตัวเองจะตาย ผมก็รู้อยู่แล้วว่าพลูโตจะไม่ได้เป็นบ้านของผมไปนานกว่านี้หรอก จะถึงวันเกิดปีที่สิบแปดของผมแล้ว ทาโกกับมัลคอล์มก็จะอายุครบสิบแปดในเดือนพฤศจิกายน ผมจะเข้ามหา’ลัยเหมือนกับทาโก และเราตกลงกันว่ามัลคอล์มจะพักอยู่กับเราจนกว่าเขาจะตั้งตัวได้ ใครจะไปรู้ว่าคราวนี้จะเอายังไงต่อ และผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองไม่ต้องมากังวลกับปัญหาพวกนี้อีกแล้ว แต่ในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเรายังอยู่ด้วยกัน ผมมีมัลคอล์มกับทาโกอยู่ข้างๆ อย่างที่พวกเขาเป็นมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ผมมาที่บ้านอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาครอบครัวหรือเวลาบ่นด่าคนอื่น พวกเขาจะคอยขนาบอยู่ข้างผมเสมอทั้งซ้ายและขวา
ตอนแรกผมก็ไม่ได้กะจะแวะหรอก แต่ผมจอดตรงข้างทางตอนเห็นโบสถ์ที่ผมเคยมาหลังอุบัติเหตุครั้งใหญ่ครั้งนั้น…ซึ่งเป็นเดตช่วงสุดสัปดาห์ครั้งแรกของผมกับเอมี่ โบสถ์นี้มีขนาดใหญ่โต ผนังอิฐสีขาว ยอดหลังคาแหลมสีน้ำตาลอมแดง ผมอยากถ่ายภาพหน้าต่างกระจกสีของที่นี่ แต่แฟลชอาจทำให้ภาพสีเพี้ยน แต่ไม่สำคัญหรอก ถ้ารูปมันเหมาะจะเอาลงอินสตาแกรม แค่ใส่ฟิลเตอร์พระจันทร์ให้ภาพเป็นสีขาวดำแบบคลาสสิกก็พอแล้ว ปัญหาที่แท้จริงคือผมไม่คิดว่ารูปโบสถ์ที่ถ่ายโดยคนไม่มีความเชื่อทางศาสนาอย่างผมจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหมาะจะทิ้งไว้ให้ผู้ติดตามเจ็ดสิบคนของผมได้ชมที่สุดน่ะสิ (#ไม่ทำหรอก)
“มีอะไรเหรอ รูฟ”
“เอมี่เคยเล่นเปียโนให้ฉันฟังที่โบสถ์นี้” ผมพูด เอมี่เป็นคาทอลิกอยู่พอตัว แต่เธอไม่เคยยัดเยียดความเป็นคาทอลิกใส่ผม เราคุยกันเรื่องดนตรีมาตลอด ผมบอกเธอว่าผมชอบพวกดนตรีคลาสสิกที่โอลิเวียเคยเปิดเวลาทบทวนหนังสือ เอมี่เลยอยากให้ผมได้ฟังดนตรีพวกนั้นแบบสดๆ…และเธออยากเป็นคนเล่นให้ผมฟัง “ฉันต้องบอกเธอว่าฉันได้รับการแจ้งตือน”
ตัวทาโกกระตุก ผมรู้ว่าเขาคันปากอยากเตือนผมว่าเอมี่บอกว่าเธอต้องการระยะห่างจากผม แต่คำขอพวกนั้นไม่สำคัญอีกแล้วในวันสุดท้าย
ผมลงจากจักรยานแล้วเอาขาตั้งลง ผมเดินไปไม่ไกลจากพวกเขามาก แค่ไปใกล้ทางเข้าอีกหน่อยในตอนที่บาทหลวงพาผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้ออกจากโบสถ์ เธอคล้องแหวนสองวงเข้าด้วยกัน น่าจะเป็นบุษราคัมนะผมว่า เหมือนอันที่แม่ผมเอาไปจำนำเพราะอยากซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเป็นของขวัญวันเกิดปีที่สิบสามให้โอลิเวีย ผู้หญิงคนนี้คงเป็นเดกเกอร์หรือไม่ก็รู้จักคนที่เป็นเดกเกอร์ งานกะเช้ามืดที่นี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย มัลคอล์มกับทาโกชอบล้อเลียนโบสถ์ที่ไม่ยอมรับเดธแคสต์กับ ‘นิมิตอันผิดบาปจากซาตาน’ ของพวกเขา แต่มันเจ๋งมากเลยนะที่แม่ชีกับบาทหลวงบางส่วนยังทำงานจนเลยเที่ยงคืนเพื่อเดกเกอร์ที่พยายามสำนึกบาป อยากทำพิธีล้างบาป และอะไรดีๆ พวกนั้น
ถ้ามีพระเจ้าอย่างที่แม่ผมเชื่ออยู่จริงๆ ล่ะก็ ผมหวังว่าตอนนี้เขาจะหนุนหลังผมอยู่นะ
ผมโทรหาเอมี่ มันดังอยู่หกครั้งก่อนจะตัดเข้าระบบฝากข้อความ ผมโทรอีกรอบแต่ก็เหมือนเดิม ผมลองอีกครั้ง มันดังสามครั้งแล้วตัดเข้าระบบฝากข้อความเลย เธอเมินผม
ผมพิมพ์ข้อความ เดธแคสต์โทรหาฉัน บางทีเธอน่าจะทำงั้นบ้างนะ
ไม่ได้หรอก ผมจะทำตัวระยำและส่งข้อความนั้นไปไม่ได้
ผมแก้ใหม่ เดธแคสต์โทรหาฉัน เธอช่วยโทรกลับมาหน่อยได้ไหม
มือถือผมดังภายในหนึ่งนาที เป็นเสียงริงโทนธรรมดาๆ ที่ไม่ใช่เสียงแจ้งเตือนที่ทำเอาหัวใจหยุดเต้นของเดธแคสต์ เอมี่โทรมา
“ไง”
“พูดจริงเหรอ” เอมี่ถาม
ถ้าผมโกหก เธอได้ฆ่าผมแน่โทษฐานทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ทาโกเคยทำแบบนั้นเพื่อเรียกร้องความสนใจและเอมี่ให้เขาหยุดทันที
“ใช่ ฉันอยากเจอเธอ”
“นายอยู่ไหน” เธอไม่ได้ฟังดูโกรธและไม่ได้พยายามวางสายใส่ผมอย่างที่เธอทำสายก่อนๆ
“จริงๆ แล้วฉันอยู่ตรงโบสถ์ที่เธอเคยพาฉันมาน่ะ” ผมพูด ตรงนี้โคตรสงบ อย่างกับผมสามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันและจะรอดไปจนถึงพรุ่งนี้ “อยู่กับมัลคอล์มกับทาโก”
“ทำไมถึงไม่อยู่ที่พลูโตล่ะ พวกนายออกมาทำอะไรกลางดึกวันจันทร์เนี่ย”
ผมต้องการเวลาอีกหน่อยก่อนตอบคำถามนี้ น่าจะอีกสักแปดปี แต่ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นและยังไม่อยากรวบรวมความกล้าบอกเธอตอนนี้ “เรากำลังกลับไปที่พลูโต เธอไปเจอเราที่นั่นได้ไหม”
“ว่าไงนะ ไม่มีทาง อยู่ที่โบสถ์นั่นแหละ เดี๋ยวไปหา”
“ฉันไม่ตายก่อนได้เจอเธอหรอกน่า เชื่อ…”
“นายไม่ได้อยู่ยงคงกระพันนะ ไอ้โง่เอ๊ย!” เอมี่ร้องไห้แล้ว เสียงเธอสั่นเหมือนตอนที่เราติดฝนด้วยกันโดยไม่มีแจ็กเก็ต “โอย ให้ตายเถอะ โทษที แต่นายรู้ไหมว่ามีเดกเกอร์กี่คนที่ให้สัญญาแบบนั้นแล้วเปียโนก็หล่นลงมาทับหัวพวกเขาเลยน่ะ”
“ขอเดาว่าไม่น่าจะเยอะนะ” ผมตอบ “ความเป็นไปได้ที่จะตายเพราะเปียโนดูไม่น่าสูงเท่าไหร่”
“ไม่ตลกนะ รูฟัส ฉันกำลังแต่งตัว อย่าขยับไปไหนนะ ฉันจะไปถึงนานสุดก็สามสิบนาที”
ผมหวังว่าเธอจะยอมให้อภัยผมได้ทุกเรื่องนะ รวมถึงเรื่องคืนนี้ด้วย ผมต้องได้เจอเธอก่อนที่เพ็คจะทำได้แล้วเล่าให้เธอฟังว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม ผมมั่นใจว่าเพ็คจะกลับบ้านไปอาบน้ำล้างตัวแล้วใช้มือถือของพี่ชายเขาโทรไปหาเอมี่เพื่อบอกเธอว่าผมน่ะโหดร้ายแค่ไหน แต่อย่าโทรหาตำรวจละกัน ไม่งั้นผมคงได้ใช้วันสุดท้ายของตัวเองในตะรางไม่ก็โดนฟาดด้วยตะบอง ผมไม่อยากคิดถึงอะไรพวกนั้นแล้ว ผมแค่อยากเจอเอมี่และบอกลาชาวพลูโตในฐานะเพื่อนที่พวกเขารู้จัก ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างที่ผมเป็นในคืนนี้
“เจอกันที่บ้านละกัน แค่…มาหาฉันให้ได้นะ บาย เอมี่”
ผมวางสายก่อนที่เธอจะท้วงอะไรได้ ผมคว้าจักรยานแล้วขึ้นไปนั่งในขณะที่เธอโทรมาไม่หยุด
“แผนคืออะไร” มัลคอล์มถาม
“เราจะกลับไปที่พลูโต” ผมบอกพวกเขา “พวกนายต้องจัดงานศพให้ฉัน”
ผมเช็กเวลา 1:30 น. แล้ว
ยังเหลือเวลาพอให้ชาวพลูโตคนอื่นได้รับการแจ้งเตือน ผมไม่อยากให้พวกเขาได้รับการแจ้งเตือนหรอก แต่บางทีผมอาจไม่ต้องตายคนเดียวก็ได้
หรือบางทีมันอาจต้องเป็นอย่างนั้น
มาเทโอ
1:32 น.
การเลื่อนดูฟีดในเคาต์ดาวน์เนอร์สทำเอาจิตตกหนักไม่ใช่เล่น แต่ผมหันหนีไปไม่ได้เพราะเดกเกอร์ทุกคนมีเรื่องราวที่อยากแบ่งปัน เวลามีคนเอาการเดินทางของพวกเขาออกมาให้เราดู เราควรสนใจนะ ถึงคุณจะรู้ว่าสุดท้ายพวกเขาต้องตายอยู่ดีก็ตาม
ถ้าผมจะไม่ออกไปข้างนอก อย่างน้อยผมก็ยังออนไลน์เพื่อคนอื่นได้
ในเว็บมีแถบตัวเลือกอยู่ห้าแถบคือเป็นที่นิยม มาใหม่ ชุมชน โปรโมต สุ่ม ผมเข้าไปเลื่อนดูในหมวดชุมชนก่อนอย่างเคยเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครที่ผมรู้จัก…ไม่มี ดีแล้ว
คงจะดีนะถ้าวันนี้ผมมีเพื่อนอยู่ด้วยสักคน
ผมสุ่มเลือกเดกเกอร์คนหนึ่ง ชื่อผู้ใช้คือ Geoff_Nevada88 เจฟฟ์ได้รับสายจากเดธแคสต์สี่นาทีหลังเที่ยงคืนและตอนนี้เขาอยู่ข้างนอกแล้ว เขากำลังมุ่งหน้าไปบาร์โปรดของตัวเองและหวังว่าจะไม่ถูกตรวจบัตรเพราะเขาคือหนุ่มอายุยี่สิบปีที่ทำบัตรประชาชนปลอมหาย ผมว่าเขาน่าจะเข้าไปได้แหละ ผมปักหมุดฟีดของเขาไว้และจะได้รับกระดิ่งแจ้งเตือนตอนเขาอัพเดตครั้งหน้า
ผมเปลี่ยนไปดูอีกฟีด ชื่อผู้ใช้คือ WebMavenMarc มาร์คเคยเป็นผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดียของบริษัทเครื่องดื่มโซดาแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาย้ำสองครั้งในโพรไฟล์ของเขา และเขาไม่แน่ใจว่าลูกสาวจะมาหาเขาได้ทันเวลาไหม มันเหมือนกับเดกเกอร์คนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าผมและกำลังดีดนิ้วใส่หน้าผมเลย
ผมต้องไปหาพ่อ ถึงพ่อจะยังไม่ได้สติก็เถอะ พ่อต้องได้รู้ว่าผมไปหาก่อนที่ผมจะตาย
ผมวางแล็ปท็อปลง ไม่สนใจกระดิ่งแจ้งเตือนจากแอ็กเคาต์สองสามแอ็กเคาต์ที่ผมปักหมุดไว้ แล้วตรงไปที่ห้องนอนของพ่อ พ่อไม่ได้เก็บที่นอนในเช้าวันที่พ่อออกไปทำงาน แต่ผมจัดที่นอนให้พ่อตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผมสอดผ้าคลุมเตียงไว้ใต้หมอนอย่างดีแบบที่พ่อชอบ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงฝั่งของพ่อ ก็คือฝั่งขวา เพราะแม่ผมชอบนอนฝั่งซ้ายตลอด และถึงแม่จะจากไปแล้ว พ่อก็ยังใช้ชีวิตแบบแบ่งเป็นสองฝั่ง ไม่เคยลบแม่ออกไปจากชีวิต ผมหยิบกรอบรูปที่เป็นภาพถ่ายตอนพ่อช่วยผมเป่าเทียนบนเค้กทอยสตอรี่ในวันเกิดหกขวบของผมขึ้นมา ที่จริงพ่อเป็นคนเป่าหมดเลย ส่วนผมเอาแต่หัวเราะพ่อ พ่อบอกว่าสีหน้ามีความสุขของผมคือเหตุผลที่พ่อเก็บรูปนี้ไว้ใกล้ตัว
ผมรู้ว่ามันออกจะแปลกๆ หน่อย แต่พ่อเป็นเพื่อนสนิทของผมพอๆ กับที่ลิเดียเป็นเลยนะ ผมไม่มีวันยอมรับออกมาดังๆ โดยไม่โดนล้อหรอก ผมรู้ดี แต่ความสัมพันธ์ของเราดีมากมาตลอด มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ผมมั่นใจว่าคนทุกคู่ข้างนอกนั่น…ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน ในเมืองนี้ หรืออีกฟากหนึ่งของโลก…ต่างทะเลาะกันทั้งเรื่องโง่ๆ และเรื่องจริงจัง แต่คู่ที่สนิทกันที่สุดจะหาทางผ่านมันไปได้ พ่อกับผมไม่มีวันมีความสัมพันธ์แบบที่พอทะเลาะกันแล้วก็ไม่คุยกันอีกเลย ไม่เหมือนพวกเดกเกอร์ในฟีดของเคาต์ดาวน์เนอร์สที่เกลียดพ่อตัวเองมากถึงขนาดที่ไม่ยอมไปดูใจพ่อของพวกเขาหรือไม่ยอมแก้ไขเรื่องผิดพลาดก่อนที่พวกเขาเองจะตาย ผมดึงรูปถ่ายออกจากกรอบ พับครึ่ง แล้วสอดมันลงกระเป๋ากางเกง พ่อคงไม่คิดมากเรื่องรอยยับหรอก คิดว่านะ ผมลุกขึ้นเพื่อจะไปโรงพยาบาล บอกลาพ่อ และดูให้แน่ใจว่ารูปนี้จะวางอยู่ข้างๆ ตอนพ่อตื่นขึ้นมา ผมอยากให้พ่อรู้สึกสงบได้อย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นแค่เช้าธรรมดาๆ อีกวัน ก่อนจะมีคนมาบอกพ่อว่าผมตายแล้ว
ผมเดินออกจากห้อง รู้สึกฮึกเหิมที่จะออกไปข้างนอกและทำตามนี้ แล้วผมก็เหลือบไปเห็นกองถ้วยชามในซิงก์ ผมควรล้างจานพวกนั้นนะ พ่อจะได้ไม่ต้องกลับบ้านมาเจอชามกับแก้วเซรามิกที่คราบติดแน่นจนล้างไม่ออกเพราะช็อกโกแลตร้อนที่ผมดื่มไป
สาบานได้ว่านี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ออกไปข้างนอก
ผมพูดจริงๆ