everY
ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 5 – บทที่ 6 #นิยายวาย
รูฟัส
2:21 น.
เอมี่พุ่งใส่ผมแล้วผลักผมกระแทกตู้เย็น เธอไม่ทำเป็นเล่นเวลาต้องใช้กำลังเพราะพ่อแม่เธอเล่นใหญ่มากตอนจับมือกันปล้นร้านสะดวกซื้อ พวกเขาทำร้ายร่างกายเจ้าของร้านกับลูกชายวัยยี่สิบปีของเขา แต่เอมี่จะไม่ถูกจับเข้าคุกเหมือนพ่อแม่เธอแค่เพราะผลักผมหรอก
“ดูเขาสิ รูฟัส นายแม่งคิดอะไรอยู่วะ”
ผมไม่ยอมมองเพ็คที่ยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวอยู่ เห็นแล้วว่าผมทำหน้าเขาเละขนาดไหนตอนเขาเดินเข้ามาข้างใน…ตาข้างหนึ่งปิด ปากแตก เลือดแห้งกรังเป็นจุดๆ บนหน้าผากบวมเป่ง เจนน์ ลอรี่อยู่ข้างๆ เขาและเอาน้ำแข็งประคบหน้าผากให้ ผมมองเธอไม่ได้เหมือนกัน เพราะเธอผิดหวังในตัวผมมากๆ ไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของผมหรือไม่ก็ตาม ทาโกกับมัลคอล์มขนาบข้างผม ไม่พูดอะไรทั้งคู่เพราะเจนน์กับฟรานซิสสวดพวกเขายับไปแล้วเรื่องที่ออกไปข้างนอกกับผมหลังเวลานอนเพื่อไปดักซ้อมเพ็ค
“ไม่รู้สึกกล้าเท่าไหร่แล้วสินะ” เพ็คถาม
“หุบปากซะ” เอมี่หมุนตัวขวับแล้วกระแทกมือถือลงกับเคาน์เตอร์ ทำเอาทุกคนสะดุ้ง “อย่าตามเรามานะ” เธอผลักประตูห้องครัวออก แล้วฟรานซิสก็มาทำเป็นยืนอยู่ตรงบันไดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ จะได้รู้เรื่องด้วย แต่ก็รักษาระยะห่างไว้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทำให้เดกเกอร์อับอายหรือว่าลงโทษเดกเกอร์
เอมี่จับข้อมือผมลากเข้ามาในห้องนั่งเล่น “คือยังไง เพราะเดธแคสต์โทรหานาย นายเลยมีอิสระที่จะไปซัดใครที่ไหนก็ได้งั้นเหรอ”
ผมเดาว่าเพ็คไม่ได้บอกเธอว่าผมซ้อมเขาก่อนได้รับการแจ้งเตือน “ฉัน…”
“อะไร”
“โกหกไปก็เท่านั้น ฉันไปดักซ้อมเขาจริงๆ”
เอมี่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาดที่อาจโจมตีเธอเป็นรายต่อไป และนั่นทำให้ผมเจ็บมาก
“ฟังนะ เอมส์ ตอนนั้นฉันสติหลุด ฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้อนาคตตั้งแต่ก่อนที่เดธแคสต์จะปล่อยระเบิดมือลงบนตักฉันแล้ว เกรดฉันห่วยมาตลอด ฉันใกล้จะสิบแปดแล้ว ฉันเสียเธอไป และฉันทำอะไรบ้าๆ ลงไปเพราะตอนนั้นฉันไม่รู้แล้วว่าจะทำยังไงดี ฉันรู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าอะไรเลยและเพ็คแม่งก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน”
“นายไม่ได้เป็นคนไม่มีค่านะ” เอมี่พูด ตัวเธอสั่นเล็กน้อยตอนเดินเข้ามาหาผม ไม่กลัวผมแล้ว เธอจับมือผม แล้วเราก็นั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับตอนที่เธอบอกผมว่าเธอจะไปจากพลูโตแล้วเพราะป้าฝั่งแม่ของเธอมีเงินพอที่จะรับเธอไปอยู่ด้วย แล้วนาทีต่อมาเธอก็บอกเลิกผมเพราะเธออยากเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง ซึ่งเป็นเคล็ดลับห่วยๆ จากเพื่อนร่วมห้องสมัยประถมของเธอ…เพ็ค “เรื่องของเรามันไม่สมเหตุสมผลอีกแล้ว อย่างที่นายบอกนั่นแหละ โกหกไปก็เท่านั้น ต่อให้นี่เป็นวันสุดท้ายของนายก็เถอะ” เธอจับมือผมไว้และร้องไห้ ตอนแรกผมคิดว่าเธอจะไม่ร้องเพราะเธอดูโกรธมากตอนมาถึงที่นี่ “ฉันเข้าใจความรักของเราผิดไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้รักนาย นายอยู่กับฉันเวลาที่ฉันต้องปลดปล่อยอารมณ์และโมโหออกมา และนายทำให้ฉันมีความสุขตอนที่ฉันทนเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างไม่ไหวแล้ว ไม่มีใครทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกแบบนั้นทั้งหมดได้หรอกนะ” เธอกอดผมแล้ววางคางลงบนไหล่ของผมแบบเดียวกับที่เธอจะวางหัวลงบนอกของผมสบายๆ ทุกครั้งที่เธอกำลังจะดูหนึ่งในสารคดีประวัติศาสตร์ของเธอ
ผมกอดเธอไว้เพราะไม่รู้จะพูดอะไรอีก ผมอยากจูบเธอ แต่ผมไม่อยากให้เธอเสแสร้งใส่ผม แต่เธออยู่ใกล้มากเลย ผมถอยออกมาเพื่อจะได้มองหน้าเธอ เพราะจูบสุดท้ายอาจเป็นจูบที่จริงใจสำหรับเธอด้วยเหมือนกัน เธอจ้องผม แล้วผมก็โน้มลง…
ทาโกเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วยกมือปิดตาตัวเอง “โอ้! โทษที”
ผมถอยออกมา “ไม่เป็นไร”
“เราควรเริ่มงานศพได้แล้ว” ทาโกพูด “แต่ไม่ต้องรีบก็ได้ วันนี้เป็นวันของนาย โทษที มันไม่ใช่วันของนาย มันไม่เหมือนวันเกิดซะหน่อย แต่เป็นตรงกันข้ามเลย” เขากระตุก “ฉันจะไปพาทุกคนมาที่นี่นะ” เขาก้าวออกไป
“ฉันไม่อยากกั๊กนายไว้คนเดียว” เอมี่พูด เธอไม่ยอมปล่อยผม ไม่จนกระทั่งทุกคนเข้ามาหมด
ผมต้องการอ้อมกอดนั้น และตอนนี้ผมก็ตั้งตารอที่จะกอดชาวพลูโตหลังงานศพเพื่อให้มันเป็นการกอดกันครั้งสุดท้ายของระบบสุริยะพลูโต
ผมนั่งกลางโซฟา พยายามสูดลมหายใจเฮือกต่อไปเข้าปอดอย่างหนักหน่วง มัลคอล์มนั่งข้างซ้าย เอมี่นั่งข้างขวา ส่วนทาโกนั่งตรงข้างเท้าผม เพ็คเว้นระยะห่างและกำลังเล่นมือถือของเอมี่ ผมไม่ชอบเลยที่เขาเล่นมือถือของเธอ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะผมพังมือถือเขาไปแล้ว
นี่คืองานศพแบบเดกเกอร์ครั้งแรกของผม เพราะครอบครัวผมไม่สนที่จะจัดงานศพให้ตัวเองเนื่องจากพวกเรามีกันและกันและไม่ต้องการใครอีก ไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือบรรดาเพื่อนเก่า บางทีถ้าผมได้ไปร่วมงานของคนอื่นบ้าง ผมคงพร้อมรับมือกับการที่เจนน์ ลอรี่พูดกับผมโดยตรงและไม่ได้พูดกับผู้ร่วมงานคนอื่นแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเปราะบางและเปล่าเปลือย แถมยังทำให้ผมน้ำตาคลออีก เหมือนเวลามีใครร้อง ‘แฮปปี้เบิร์ธเดย์’ ให้ผม…จริงๆ นะ ปีไหนก็ไม่เคยพลาด
…แต่จะไม่มีแบบนั้นแล้ว
“เธอไม่ร้องไห้ถึงแม้ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะร้องทุกประการ เหมือนเธอกำลังพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง คนอื่น…” เจนน์ ลอรี่ไม่ได้หันไปหาชาวพลูโต ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เธอไม่หลบตาผม เหมือนเรากำลังแข่งจ้องตากันอยู่ นับถือเลย “ทุกคนร้องไห้กันหมด แต่ตาของเธอดูเศร้ามาก รูฟัส เธอไม่มองพวกเราเลยอยู่สองสามวัน จนฉันคิดว่าถ้ามีใครปลอมเป็นฉันเธอก็คงไม่รู้ ความว่างเปล่าที่เธอรู้สึกมันหนาหนักจนกระทั่งเธอมีเพื่อน และคนอื่นๆ อีก”
ผมหันไปด้านข้าง เอมี่ไม่ละสายตาไปจากผม…เธอดูเศร้าเหมือนตอนที่บอกเลิกผมเลย
“ฉันรู้สึกดีเสมอเวลาพวกนายทุกคนอยู่ด้วยกัน” ฟรานซิสพูด
เขาจะไม่พูดถึงเรื่องคืนนี้ ผมรู้ การตายแม่งโคตรห่วย แหงล่ะ แต่การโดนจับขังคุกในขณะที่ชีวิตของคนอื่นดำเนินต่อไปโดยไม่มีคุณคงแย่กว่าเยอะ
ฟรานซิสยังคงจ้องผมแต่ไม่พูดอะไรอีก “เราไม่ได้มีเวลาทั้งวัน” เขาโบกมือไปหามัลคอล์ม “ตานายแล้ว”
มัลคอล์มเดินมาตรงกลางห้อง หันหลังค่อมๆ ของเขาให้ห้องครัว เขากระแอม และมันแรงมาก อย่างกับมีอะไรไปติดในหลอดลมของเขา แล้วน้ำลายก็กระเซ็นออกมาจากปากเขานิดหน่อย เขาเป็นคนที่ดูเลอะเทอะมาตลอด เป็นคนประเภทที่ทำให้คุณอายโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะมารยาทบนโต๊ะอาหารเขาไม่ค่อยดีและไม่คิดกรองคำพูดตัวเองให้ดีก่อนพูดออกมา แต่เขาก็ติววิชาพีชคณิตและเก็บความลับให้คุณได้เหมือนกัน และนั่นจะเป็นเรื่องที่ผมจะพูดถึงถ้าผมได้กล่าวคำไว้อาลัยให้เขา “นายเคยเป็น…นายเป็นพี่น้องของเรา รูฟ นี่มันเหลวไหลทั้งเพ โคตรเหลวไหลเลยแม่ง” เขาก้มหน้าต่ำและแคะเล็บมือซ้ายของตัวเองไปด้วย “พวกเขาควรเอาฉันไปแทน”
“อย่าพูดแบบนั้นน่า จริงๆ นะ เงียบไปเลย”
“ฉันพูดจริงนะ” เขาบอก “ฉันรู้ว่าไม่มีใครอยู่ไปตลอดหรอก แต่นายควรได้อยู่นานกว่าคนอื่น นายสำคัญกว่าคนอื่นๆ นี่แหละชีวิต ฉันมันก็แค่ไอ้คนตัวใหญ่ไร้ประโยชน์ที่ทำงานเป็นคนเอาของใส่ถุงในซูเปอร์มาร์เก็ตยังไม่รอดเลย ส่วนนาย…”
“กำลังจะตาย!” ผมขัดแล้วลุกขึ้นยืน ผมเลือดขึ้นหน้าแล้วต่อยแขนเขาอย่างแรง ไม่ขอโทษด้วย “ฉันกำลังจะตายและเราแลกเปลี่ยนชีวิตกันไม่ได้ นายไม่ใช่ไอ้คนตัวใหญ่ไร้ประโยชน์ แต่ถึงยังไงนายก็ยังพัฒนาตัวเองได้โว้ย”
ทาโกยืนขึ้น เขานวดคอตัวเองและพยายามห้ามไม่ให้ตัวเขากระตุก “รูฟ ฉันจะคิดถึงเวลานายทำให้พวกเราหุบปากแบบนี้ นายหยุดไม่ให้ฉันฆ่ามัลคอล์มทุกครั้งที่เขาแย่งอาหารในจานของเราและไม่ยอมกดชักโครกสองครั้ง ฉันพร้อมที่จะเห็นหน้านายไปจนเราแก่เฒ่าเลย” ทาโกถอดแว่นแล้วเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ ก่อนจะกำมือข้างนั้นแน่น เขาเงยหน้าขึ้นเหมือนกำลังรอให้พินญาตา แห่งความตายหย่อนลงมาจากเพดาน “นายควรเป็นคนที่จะอยู่ไปอีกนาน”
ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาแค่ร้องไห้หนักกว่าเดิม เสียงของทุกคนที่กำลังโศกเศร้าเพราะผมกำลังจะตายก่อนที่ผมจะจากไปจริงๆ ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว ผมอยากปลอบพวกเขานะ แต่ผมดึงตัวเองออกจากความงงงันไม่ได้ ผมใช้เวลามากมายไปกับการรู้สึกผิดที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากเสียครอบครัวไป แต่ตอนนี้ผมกลับเอาชนะความรู้สึกผิดอันแปลกประหลาดของเดกเกอร์ที่ตัวเองกำลังจะตายไม่ได้เลย พอรู้ว่าผมต้องทิ้งคนกลุ่มนี้ไว้ข้างหลัง
เอมี่ก้าวมาตรงกลาง แล้วเราทุกคนก็รู้ว่าตอนนี้จะเป็นของจริงแล้ว จริงอย่างทารุณเลย “มันจะฟังดูน่าเบื่อไหมถ้าจะบอกว่าฉันคิดว่ากำลังติดอยู่ในฝันร้าย ฉันคิดมาตลอดว่าทุกคนน่ะเว่อร์เกินไปเวลาพวกเขาพูดว่า ‘เหมือนเป็นฝันร้ายเลย’ คือ ถามจริง รู้สึกแค่นั้นเองเหรอเวลามีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นน่ะ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าอยากให้พวกเขารู้สึกยังไงตอนนั้น แต่ตอนนี้บอกเลยว่าพวกเขาพูดถูกแล้ว ไงก็เถอะ ฉันมีคำพูดซ้ำซากจำเจให้นายอีกอย่าง คือฉันอยากตื่น แต่ถ้าฉันตื่นขึ้นมาไม่ได้ ฉันก็อยากหลับไปตลอด จะได้มีโอกาสฝันถึงสิ่งสวยงามทุกอย่างเกี่ยวกับตัวนาย อย่างสายตาที่นายมองมาที่ตัวตนของฉันจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากจ้องรอยปานบนหน้าฉัน”
เอมี่แตะที่หัวใจของเธอแล้วเค้นคำพูดต่อไปออกมา “มันเจ็บมากเลยนะรูฟัส พอคิดว่านายจะไม่อยู่ให้ฉันโทรหาหรือกอดอีกแล้ว และ…” เธอหยุดมองผมแล้ว เธอกำลังหรี่ตามองอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังผม แล้วมือเธอก็ตกลงข้างลำตัว “มีคนโทรแจ้งตำรวจเหรอ”
ผมกระโดดลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะเห็นแสงไฟสีแดงสลับน้ำเงินส่องวาบอยู่หน้าดูเพล็กซ์ ผมเข้าสู่โหมดแพนิกขั้นสุดที่ดูเหมือนเกิดแค่แป๊บเดียวแต่ก็โคตรจะยาวนาน นานเหมือนเวลาชั่วนิรันดร์ผ่านไปแล้วแปดครั้ง มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้ดูประหลาดใจหรือสติแตกเลย ผมหันไปมองเอมี่ แล้วเอมี่ก็มองตามผมไปที่เพ็ค
“นี่นาย” เอมี่พูด เธอพุ่งไปหาเขาแล้วคว้ามือถือของเธอกลับมา
“เขาทำร้ายฉันนะ!” เพ็คตะโกน “ฉันไม่สนหรอกต่อให้เขากำลังจะตายน่ะ!”
“เขาไม่ใช่เนื้อหมดอายุนะ เขาคือคนคนหนึ่ง!” เอมี่ตะโกนกลับ
เชี่ยเอ๊ย ผมไม่รู้ว่าเพ็คทำได้ยังไง เพราะเขาไม่ได้โทรหาใครเลยตอนอยู่ที่นี่ แต่เขาแจ้งตำรวจมาจับผมในงานศพของผมเอง ผมล่ะหวังว่าเดธแคสต์จะโทรหาไอ้เวรนี่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“ไปออกประตูหลัง” ทาโกบอก ตัวเขากระตุกอย่างรุนแรง
“พวกนายต้องไปกับฉัน เพราะพวกนายก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
“เราจะถ่วงเวลาไว้” มัลคอล์มพูด “เราจะพูดกล่อมพวกเขา”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เจนน์ ลอรี่ชี้ไปที่ห้องครัว “ไปได้แล้ว”
ผมคว้าหมวกกันน็อกแล้วเดินถอยหลังไปทางห้องครัว มองชาวพลูโตทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง พ่อผมเคยบอกว่าการบอกลาคือ ‘ความเป็นไปไม่ได้ที่เป็นไปได้ที่สุด’ เพราะคุณไม่มีวันอยากพูดมันออกมาหรอก แต่ถ้ามีโอกาสแล้วไม่ยอมพูดก็โง่แล้ว ผมโดนโกงโอกาสที่จะบอกลาทุกคนไปเพราะมีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาในงานศพของผมเอง
ผมส่ายหน้าแล้ววิ่งออกไปด้านหลัง หอบหายใจ ก่อนจะพุ่งฝ่าสวนหลังบ้านที่เราทุกคนเกลียดเพราะมียุงมีแมลงหวี่อยู่เต็มไปหมด แล้วกระโดดข้ามรั้วไป ผมแอบอ้อมไปหน้าบ้านเพื่อดูว่ายังมีโอกาสที่จะคว้าจักรยานมาได้ไหมก่อนต้องวิ่งหนีไปด้วยเท้าของผมเอง รถตำรวจจอดอยู่ข้างนอก ตำรวจทั้งสองนายต้องอยู่ข้างในแน่ๆ อาจจะไปถึงสวนหลังบ้านแล้วด้วยซ้ำถ้าเพ็คบอกพวกเขา ผมคว้าจักรยานแล้วจูงมันวิ่งบนทางเท้า ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมตอนผมมีโมเมนตัมมากพอ
ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน แต่ผมก็ปั่นไปเรื่อยๆ
ผมมีชีวิตรอดผ่านงานศพตัวเองมาได้ แต่ผมหวังให้ตัวเองตายไปแล้ว