everY
ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 7 – บทที่ 8 #นิยายวาย
มาเทโอ
2:52 น.
ครั้งที่สามก็ยังไม่โอเค ผมบอกคุณไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแอลเป็นเดกเกอร์จริงๆ รึเปล่า แต่ผมบล็อกเธอไปแล้วโดยไม่สืบหาความจริงเพราะเธอส่งข้อความสแปมให้ผมเป็นลิงก์ ‘วิดีโอหนังเหี้ยมตลกๆ ที่เล่นพลาด’ ผมปิดแอพฯ หลังจากนั้น ขอยอมรับเลยนะ ผมรู้สึกว่าวิธีการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของผมน่ะถูกต้องแล้วเพราะบางทีคนเราก็ไม่ไหวจริงๆ การมีบทสนทนาที่ให้เกียรติกันยังยากขนาดนี้ อย่าว่าแต่หาเพื่อนคนสุดท้ายเลย
การแจ้งเตือนข้อความใหม่ๆ ยังคงเด้งขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ผมไม่สนใจเพราะผมไต่ถึงเลเวลสิบแล้วในเกมอะดาร์กแวนิชชิ่ง วิดีโอเกมเอ็กซ์บ็อกซ์อินฟินิตี้สุดโหดที่ทำเอาผมอยากหาสูตรโกงเกมมาใช้ โคฟ ตัวฮีโร่ของผม คือจอมเวทระดับสิบเจ็ดที่มีผมเป็นไฟ เขาไม่สามารถเดินทางผ่านอาณาจักรอันยากจนข้นแค้นได้โดยไม่ส่งบรรณาการให้เจ้าหญิง ผมเลยเดิน (หมายถึงโคฟเดินน่ะ) ผ่านบรรดาคนหาบเร่ที่พยายามขายเข็มกลัดทองแดงกับกุญแจสนิมเขรอะในราคาถูกแล้วมุ่งหน้าไปหาโจรสลัด ผมคงกำลังจมอยู่ในความคิดระหว่างทางไปท่าเรือเพราะโคฟเหยียบเข้ากับกับระเบิดและผมไม่มีเวลาพอเข้าโหมดฝ่าทะลุการระเบิด…แขนโคฟเลยหลุดกระเด็นเข้าไปในหน้าต่างกระท่อมหลังหนึ่ง หัวปลิวขึ้นฟ้า ขาระเบิดกระจุย
ใจผมเต้นโครมครามตลอดเวลาที่รอหน้าจอโหลดจนโคฟกลับมาอีกครั้ง ดูดีเหมือนใหม่ โคฟปลอดภัยดี
ผมฟื้นจากความตายทีหลังไม่ได้
ผมกำลังเฉาตายอยู่ในนี้และ…
ห้องผมมีชั้นวางหนังสืออยู่สองชั้น ชั้นสีฟ้าด้านล่างมีหนังสือเล่มโปรดที่ผมไม่มีวันทำใจสละมันไปได้เวลาผมบริจาคหนังสือเดือนละครั้งให้คลินิกสุขภาพวัยรุ่นที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ชั้นสีขาวด้านบนมีกองหนังสือที่ผมกะว่าจะอ่านมาตลอด
…ผมหยิบหนังสือออกมาเหมือนผมจะมีเวลาอ่านมันทุกเล่มอย่างนั้นแหละ ผมอยากรู้ว่าเด็กชายคนนี้รับมือกับชีวิตที่ดำเนินต่อไปโดยไม่มีเขาหลังจากถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพในพิธีกรรมได้ยังไง หรือว่าสาวน้อยคนนี้รู้สึกยังไงที่ไปขึ้นโชว์ในงานแสดงความสามารถของโรงเรียนไม่ได้เพราะพ่อแม่เธอได้รับการแจ้งเตือนจากเดธแคสต์ในขณะที่เธอเฝ้าฝันถึงเปียโน หรือฮีโร่ที่มีฉายาว่าความหวังของผู้คนมีปฏิกิริยายังไงตอนได้รับข้อความจากเหล่านักพยากรณ์ที่เหมือนกับเดธแคสต์ว่าเขาจะตายในเวลาหกวันก่อนสงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งเขาเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะราชาแห่งสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ผมเขวี้ยงหนังสือพวกนี้ข้ามห้องแล้วเตะหนังสือเรื่องโปรดบางเล่มออกจากชั้นด้วยเพราะเส้นแบ่งระหว่างหนังสือเล่มโปรดกับหนังสือที่จะไม่มีวันได้เป็นหนังสือเล่มโปรดน่ะไม่สำคัญอีกแล้ว
ผมพุ่งไปคว้าลำโพงแล้วเกือบจะเหวี่ยงมันใส่ผนัง แต่หยุดตัวเองไว้ทันในวินาทีสุดท้าย หนังสือไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ลำโพงใช้ไฟฟ้าและทุกอย่างอาจจบลงตรงนี้ ลำโพงอันนี้กับเปียโนย้ำปมผม มันเตือนให้ผมนึกถึงเวลาที่ผมรีบกลับจากโรงเรียนมาที่บ้านเพื่อจะได้มีเวลาส่วนตัวกับเพลงของผมให้มากที่สุดเท่าที่จะมีได้ก่อนพ่อจะกลับมาจากกะงานผู้จัดการร้านของใช้งานฝีมือ ผมจะใช้เวลานั้นร้องเพลง แต่ร้องไม่ดังมากหรอก เพื่อนบ้านจะได้ไม่ได้ยินผม
ผมดึงแผนที่ออกจากผนัง ผมไม่เคยออกจากนิวยอร์กและจะไม่มีวันได้ขึ้นเครื่องบินไปลงอียิปต์เพื่อไปดูวัดต่างๆ กับพีระมิดหรือเดินทางไปบ้านเกิดของพ่อผมในเปอร์โตริโกเพื่อเยี่ยมชมป่าฝนที่พ่อเคยไปบ่อยๆ ตอนยังเด็ก ผมฉีกแผนที่เป็นชิ้นๆ ปล่อยให้ประเทศและเมืองต่างๆ หล่นลงใส่เท้า
ในนี้เละไปหมด เหมือนตอนฮีโร่ในหนังแฟนตาซีที่ได้รับความนิยมสูงสักเรื่องกำลังยืนอยู่กลางซากปรักหักพังของหมู่บ้านที่โดนถล่มเละระหว่างสงคราม ถูกตัวร้ายระเบิดทั้งหมู่บ้านเพราะหาพระเอกไม่เจอ เพียงแต่แทนที่ตรงนี้จะเป็นซากตึกถล่มกับอิฐที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ในห้องนี้กลับมีหนังสือมากมายเปิดหน้าคว่ำลงกับพื้น สันหนังสือพังยับตั้งขึ้นด้านบน ส่วนเล่มอื่นๆ กองทับกัน ผมจะเก็บของทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ไม่งั้นผมคงได้นั่งเรียงหนังสือทุกเล่มตามตัวอักษรและเอาแผนที่มาแปะติดกันเหมือนเดิมแน่ๆ (สาบานได้ว่านี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำความสะอาดห้องนะ)
ผมปิดเอ็กซ์บ็อกซ์อินฟินิตี้ที่ตอนนี้โคฟฟื้นคืนชีพพร้อมแขนขาสมบูรณ์ราวกับไม่ได้โดนระเบิดไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน โคฟยืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้น เขากำลังแกว่งตัวไปมากับเสาอย่างเกียจคร้าน
ผมต้องลงมือแล้ว ผมหยิบมือถือขึ้นมาอีกรอบแล้วเข้าแอพฯ เพื่อนคนสุดท้ายอีกครั้ง หวังว่าผมจะก้าวเท้าข้ามคนที่อันตรายเหมือนกับระเบิดไปได้นะ
รูฟัส
2:59 น.
อยากให้เดธแคสต์โทรมาก่อนผมทำชีวิตตัวเองพังในคืนนี้จริงๆ
ถ้าเดธแคสต์โทรมาเมื่อคืนก่อน มันคงปลุกผมจากตอนที่กำลังฝันว่าตัวเองแพ้มาราธอนให้เด็กตัวเล็กๆ ที่ปั่นจักรยานสามล้อถีบ ถ้าเดธแคสต์โทรมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมคงไม่นั่งอ่านโน้ตทุกแผ่นที่เอมี่เขียนให้ผมตอนเรายังรักกันดีอยู่จนดึกดื่น ถ้าเดธแคสต์โทรมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน สายคงช่วยขัดจังหวะตอนผมกำลังเถียงกับมัลคอล์มและทาโกเรื่องที่ฮีโร่ของมาร์เวลเจ๋งกว่าฮีโร่ของดีซี (และผมอาจบังคับให้ผู้แจ้งข่าวมาช่วยเถียงด้วย) ถ้าเดธแคสต์โทรมาเมื่อเดือนที่แล้ว มันคงช่วยทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นเพราะผมไม่อยากคุยกับใครหลังเอมี่ไปจากพลูโต แต่ไม่ล่ะ เดธแคสต์โทรหาผมคืนนี้ตอนผมกำลังสาดหมัดใส่เพ็ค ทำให้เอมี่ลากเขามาที่ดูเพล็กซ์เพื่อเผชิญหน้ากับผม นั่นทำให้เพ็คลากตำรวจเข้ามาเกี่ยวด้วยและขัดจังหวะงานศพของผม และทำให้ผมในตอนนี้ตัวคนเดียวหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
ทุกอย่างนั่นจะไม่เกิดขึ้นถ้าเดธแคสต์โทรหาผมเร็วกว่านี้หนึ่งวัน
ผมได้ยินเสียงไซเรนตำรวจแล้วปั่นจักรยานต่อ หวังว่าจะเกิดเรื่องอื่นขึ้นนะ
ผมปั่นไปอีกไม่กี่นาทีก่อนจะหยุดพักตรงระหว่างแมคโดนัลด์กับปั๊มน้ำมัน แสงตรงนี้สว่างจ้า บางทีการหยุดพักที่นี่อาจเป็นการกระทำที่โง่ แต่การอยู่ในที่ที่มองเห็นได้ชัดเจนอาจเป็นการซ่อนตัวที่ดีก็ได้ ไม่รู้สิ ผมไม่ใช่เจมส์ บอนด์ ผมไม่มีหนังสือคู่มือวิธีซ่อนจากคนร้าย
เวร ผมนี่แหละคนร้าย
แต่ถึงยังไงก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี ใจผมเต้นรัว ขาเหมือนจะลุกเป็นไฟ และผมต้องพักหายใจสักหน่อย
ผมนั่งลงบนขอบทางเท้านอกปั๊มน้ำมัน กลิ่นตรงนี้เหมือนฉี่กับเบียร์ราคาถูก มีกราฟิตี้รูปเงาคนสองเงาบนกำแพงกับเครื่องสูบลมล้อจักรยาน เงาทั้งคู่รูปร่างเหมือนตัวผู้ชายตรงป้ายห้องน้ำชาย มีสเปรย์สีส้มเขียนเป็นคำว่า ‘แอพฯ เพื่อนคนสุดท้าย’
ผมไม่เคยได้บอกลาใครดีๆ สักที ผมไม่ได้กอดครอบครัวของผมเป็นครั้งสุดท้ายและไม่ได้กอดชาวพลูโตเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่แค่บอกลาด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ได้ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำให้ผม ทั้งความซื่อสัตย์ที่มัลคอล์มแสดงให้ผมเห็นอยู่ตลอด หรือความบันเทิงที่ทาโกมอบให้ในรูปแบบของบทหนังเกรดบีอย่างคานารีคลาวน์ เดอะคาร์นิวัลออฟดูม และสเนกแท็กซี่…ถึงบทเรื่องซับส์ติติวต์ด็อกเตอร์จะแย่โคตรเลยก็เถอะ สำหรับหนังที่แย่อยู่แล้วด้วยนะ การเลียนแบบตัวละครชื่อฟรานซิสทำผมขำเกือบตายจนต้องขอร้องให้เขาหยุดเพราะเจ็บซี่โครง ไหนจะบ่ายวันนั้นที่เจนน์ ลอรี่สอนผมเล่นไพ่โซลิแทร์เพื่อให้ผมมีอะไรทำและมีเวลาอยู่กับตัวเอง แล้วก็ตอนที่ผมมีบทสนทนาที่ดีกับฟรานซิสตอนเราคือสองคนสุดท้ายที่ตื่นอยู่ เขาบอกว่าแทนที่จะชมรูปร่างหน้าตาของคนมีเสน่ห์ ประโยคจีบสาวของผมควรเจาะจงกว่านี้เพราะ ‘ใครๆ ก็มีดวงตาที่สวยได้ แต่คนที่ใช่เท่านั้นถึงจะฮัมตัวอักษรออกมาเป็นเพลงแล้วทำให้มันกลายเป็นจังหวะโปรดจังหวะใหม่ของนายได้’ และการที่เอมี่จริงใจกับผมมาตลอด แม้กระทั่งเมื่อกี้ที่เธอปล่อยผมให้เป็นอิสระโดยการบอกว่าเธอไม่ได้รักผม
ตอนนั้นผมน่าจะกอดชาวพลูโตรวมกันเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ผมกลับไปไม่ได้แล้วตอนนี้ บางทีผมไม่น่าหนีมาเลย ค่าประกันตัวคงสูงขึ้นแน่ถ้าหนีคดี แต่ตอนนั้นผมไม่มีเวลาคิด
ผมต้องชดเชยให้ชาวพลูโต พวกเขาพูดแต่ความจริงทั้งนั้นตอนกล่าวคำไว้อาลัยให้ผม หลังๆ มานี้ผมทำตัวไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังโอเคอยู่ ไม่งั้นมัลคอล์มกับทาโกคงไม่เป็นเพื่อนผมหรอก และเอมี่คงไม่คบกับผมถ้าผมเป็นไอ้ระยำ
พวกเขาจะอยู่กับผมไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องอยู่คนเดียว
ผมไม่อยากอยู่คนเดียวจริงๆ นะ
ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงกำแพงที่มีลายกราฟิตี้กับโปสเตอร์เปื้อนน้ำมันเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่เรียกว่า ‘ฝันบันดาล’ ผมจ้องเงาเพื่อนคนสุดท้ายบนกำแพง ตั้งแต่ที่ครอบครัวของผมตาย ผมคงยอมเอาทุกอย่างเป็นเดิมพันว่าผมจะตายอย่างโดดเดี่ยว บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่แค่เพราะผมถูกทิ้งไว้ข้างหลังไม่ได้หมายความว่าผมไม่ควรมีเพื่อนคนสุดท้ายสักคนนี่ ผมรู้ว่ายังมีรูฟัสด้านที่ดีอยู่ในตัวผม รูฟัสคนที่ผมเคยเป็น และเพื่อนคนสุดท้ายอาจช่วยลากเขาออกมา
การเล่นแอพฯ อะไรพวกนี้ไม่ใช่แนวของผมเท่าไหร่ แต่การซัดคนหน้าหงายก็ไม่ใช่แนวของผมเหมือนกัน เพราะงั้นวันนี้ผมอยู่ในจุดที่ไม่เป็นตัวเองไปแล้ว ผมเข้าแอพฯ สโตร์แล้วดาวน์โหลดเพื่อนคนสุดท้าย โหลดเร็วโคตร น่าจะมีคนดูข้อมูลในเครื่องผม แต่ใครสนล่ะ
ผมลงชื่อเข้าใช้ในฐานะเดกเกอร์ ตั้งโพรไฟล์ อัพโหลดรูปเก่าจากอินสตาแกรม แค่นี้ก็พร้อมแล้ว
พอมีข้อความส่งมาเจ็ดข้อความภายในห้านาที ผมก็เหงาน้อยลงหน่อยนึง…ถึงแม้ว่าผู้ชายคนหนึ่งจะพูดเรื่องไร้สาระอย่างการที่เขามียาขจัดความตายอยู่ในกางเกง รู้ไว้นะ ให้ผมตายซะยังจะดีกว่า
มาเทโอ
3:14 น.
ผมปรับการตั้งค่าโพรไฟล์ใหม่ให้คนที่มองเห็นเป็นใครก็ได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ชายหญิงที่แก่กว่าทักมาจีบผมไม่ได้แล้ว ผมก้าวไปอีกขั้นด้วยการให้เดกเกอร์ที่ลงชื่อเข้าใช้เท่านั้นถึงจะสามารถติดต่อผมได้ ผมจะได้ไม่ต้องรับมือกับใครก็ตามที่หาซื้อโซฟาหรือหม้อ การทำแบบนี้ช่วยลดจำนวนผู้เข้าใช้ออนไลน์ไปได้เยอะมาก ผมมั่นใจว่าวัยรุ่นเป็นร้อยๆ หรืออาจเป็นพันๆ คนได้รับการแจ้งเตือนวันนี้ แต่ตอนนี้มีเดกเกอร์ที่ลงชื่อเข้าใช้อายุตั้งแต่สิบเจ็ดถึงสิบแปดแค่แปดสิบเก้าคน ผมได้รับข้อความจากผู้หญิงอายุสิบแปดปีชื่อโซอี้ แต่ผมไม่สนใจเพราะผมไปเห็นโพรไฟล์ของผู้ชายอายุสิบเจ็ดชื่อรูฟัสเข้า ผมชอบชื่อนี้มาตลอด ผมคลิกดูโพรไฟล์ของเขา
ชื่อ : รูฟัส เอเมเทริโอ
อายุ : 17
เพศ : ชาย
ส่วนสูง : 178 ซม.
น้ำหนัก : 76 กก.
เชื้อชาติ : คิวบา-อเมริกัน
รสนิยมทางเพศ : ไบ
อาชีพ : นักปล่อยเวลาให้เสียเปล่ามืออาชีพ
ความสนใจ : ปั่นจักรยาน ถ่ายรูป
หนังเรื่องโปรด/รายการทีวีโปรด/หนังสือเล่มโปรด : <ข้าม>
ชีวิตของคุณ : ผมรอดในเหตุการณ์ที่ควรจะตาย
รายการสิ่งที่อยากทำก่อนตาย : ทำไปเลย
คำพูดทิ้งท้าย : มันถึงเวลาแล้ว ผมทำเรื่องผิดพลาดไปมากมาย แต่คราวนี้ผมจะทำให้ถูกต้อง
ผมต้องการเวลา ต้องการชีวิตเพิ่ม แต่รูฟัส เอเมเทริโอคนนี้ยอมรับโชคชะตาของตัวเองแล้ว บางทีเขาอาจจะฆ่าตัวตาย เดธแคสต์ทำนายการฆ่าตัวตายไม่ได้ แต่ยังสามารถล่วงรู้ความตายได้อยู่ดี ถ้าเขาจะทำร้ายตัวเอง ผมก็ไม่ควรอยู่ใกล้เขา…เพราะเขาอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตายก็ได้ แต่รูปของเขาต้านทฤษฎีนั้น เขากำลังยิ้มพร้อมดวงตาเป็นมิตร ผมจะลองคุยกับเขา แล้วถ้าความรู้สึกมันได้ เขาก็อาจเป็นผู้ชายประเภทที่จะทำให้ผมกล้าเผชิญหน้ากับตัวเองด้วยความซื่อตรงของเขา
ผมจะลองทักเขาดู การทักทายไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไรนี่
มาเทโอ ท. (3:17 น.) : เสียใจด้วยที่นายต้องจากไปนะ รูฟัส
ผมไม่ชินกับการทักคนแปลกหน้าก่อนแบบนี้เท่าไหร่ เมื่อก่อนเคยมีอยู่สองสามครั้งที่ผมคิดจะสร้างโพรโฟล์เพื่อเป็นเพื่อนกับเดกเกอร์ในวันสุดท้ายของพวกเขา แต่ผมไม่คิดว่าผมจะให้อะไรพวกเขาได้มาก แล้วพอผมเป็นเดกเกอร์ซะเอง ผมก็เข้าใจความสิ้นหวังที่จะติดต่อใครสักคนยิ่งกว่าเดิม
รูฟัส อ. (3:19 น.) : ไง มาเทโอ หมวกเท่ดีนะ
เขาไม่ได้แค่ตอบผมอย่างเดียว แต่เขาชอบหมวกลุยจิในรูปโพรไฟล์ของผมด้วย เขาเข้าถึงคนที่ผมอยากจะเป็นได้แล้วเนี่ย
มาเทโอ ท. (3:19 น.) : ขอบใจ ฉันกะว่าจะทิ้งหมวกไว้ที่บ้าน ไม่อยากเป็นจุดสนใจน่ะ
รูฟัส อ. (3:19 น.) : ดีแล้ว หมวกลุยจิมันไม่เหมือนกับหมวกเบสบอลนี่ จริงไหม
มาเทโอ ท. (3:19 น.) : ใช่เลย
รูฟัส อ. (3:20 น.) : เดี๋ยวนะ นายยังไม่ออกจากบ้านเหรอ
มาเทโอ ท. (3:20 น.) : ยัง
รูฟัส อ. (3:20 น.) : นายเพิ่งได้รับการแจ้งเตือนเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วรึไง
มาเทโอ ท. (3:20 น.) : เดธแคสต์โทรหาฉันหลังเที่ยงคืนไปนิดนึง
รูฟัส อ. (3:20 น.) : นายทำอะไรอยู่ทั้งคืนเนี่ย
มาเทโอ ท. (3:20 น.) : ทำความสะอาดบ้านกับเล่นเกมน่ะ
รูฟัส อ. (3:20 น.) : เกมอะไร
รูฟัส อ. (3:21 น.) : ช่างเถอะ เรื่องเกมน่ะไม่สำคัญหรอก นายไม่มีอะไรที่อยากทำรึไง นี่นายกำลังรออะไรอยู่
มาเทโอ ท. (3:21 น.) : ฉันคุยกับคนที่น่าจะเป็นเพื่อนคนสุดท้ายกับฉันได้อยู่น่ะ แต่พวกเขา…ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ พูดแบบนี้น่าจะดีที่สุด
รูฟัส อ. (3:21 น.) : ทำไมนายถึงต้องมีเพื่อนคนสุดท้ายก่อนเริ่มวันของนายด้วย
มาเทโอ ท. (3:22 น.) : ทำไมนายถึงต้องมีเพื่อนคนสุดท้ายด้วยถ้านายมีเพื่อนอยู่แล้ว
รูฟัส อ. (3:22 น.) : ฉันถามนายก่อน
มาเทโอ ท. (3:22 น.) : ยุติธรรมดี ฉันคิดว่าการออกไปจากอพาร์ตเมนต์ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรบางอย่างหรือใครบางคนกำลังจะฆ่าฉันเป็นความคิดที่บ้ามาก แล้วก็เพราะมี ‘เพื่อนคนสุดท้าย’ ข้างนอกนั่นอ้างว่าเขามียาขจัดความตายอยู่ในกางเกงของเขาด้วย
รูฟัส อ. (3:23 น.) : ฉันคุยกับไอ้ทุเรศนั่นมาเหมือนกัน! ไม่ได้คุยกับไอ้หนูของเขานะ ฉันกดรายงานแล้วก็บล็อกเขาไปแล้ว สาบานได้ว่าฉันโอเคกว่าหมอนั่น แต่แค่นี้คงพิสูจน์อะไรไม่ได้มากมั้ง นายอยากวิดีโอคอลล์ไหม เดี๋ยวฉันส่งคำเชิญไป
ตัวไอคอนรูปเงาคนกำลังคุยโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นมา ผมเกือบกดวางแล้วเพราะงุนงงกับความปุบปับของสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มากเกินไป แต่ผมกดรับก่อนสายจะหยุดลง ก่อนที่รูฟัสจะวางสายไป หน้าจอกลายเป็นสีดำอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์แบบที่มีหน้าตาเหมือนรูฟัสในโพรไฟล์ก็โผล่ขึ้นมา เขาเหงื่อแตก ตามองต่ำ แต่เขาเหลือบมาเห็นผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมรู้สึกเปล่าเปลือย อาจรู้สึกเหมือนกำลังโดนข่มขู่อยู่นิดนึงด้วยซ้ำ เหมือนเขาเป็นตำนานวัยเด็กอันน่าหวาดกลัวสักเรื่องที่สามารถยื่นมือออกจากจอแล้วลากผมไปสู่นรกอันมืดมิด ในโลกจินตนาการของผม รูฟัสพยายามขู่บังคับให้ผมออกมาจากโลกของตัวเองเพื่อดึงผมไปสู่โลกหน้า ก็เลย…
“โย่” รูฟัสพูด “เห็นฉันไหม”
“อืม ไง ฉันมาเทโอ”
“ไง มาเทโอ โทษทีที่อยู่ดีๆ ก็วิดีโอคอลล์หานาย” รูฟัสบอก “มันยากที่จะไว้ใจคนที่มองไม่เห็นน่ะ เข้าใจฉันไหม”
“ไม่เป็นไร” ผมว่า แสงส่องจ้าจากฝั่งของเขา ทำเอาผมมองแทบไม่เห็นอะไรไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่ผมยังพอมองใบหน้าสีน้ำตาลของเขาออก สงสัยจังว่าทำไมเขาเหงื่อแตกขนาดนั้น
“นายอยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกเพื่อนคนสุดท้ายแทนที่จะเป็นเพื่อนในชีวิตจริงของฉัน”
“ใช่” ผมบอก “เว้นแต่ว่ามันส่วนตัวเกินไป”
“ไม่หรอก ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ฉันว่าคำว่า ‘ส่วนตัวเกินไป’ ไม่ควรมีอยู่ระหว่างเพื่อนคนสุดท้ายด้วยกันเอง เล่าสั้นๆ เลยนะ ฉันอยู่กับพ่อแม่แล้วก็พี่สาวของฉันตอนที่รถเราตกลงไปในแม่น้ำฮัดสัน และฉันต้องดูพวกเขาตาย ฉันไม่ต้องการให้เพื่อนของฉันใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิดแบบนั้น ฉันจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้เพื่อดูให้แน่ใจว่านายโอเคไหม”
“ที่นายทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังเหรอ”
“ไม่ใช่ ที่นายอาจต้องเห็นฉันตาย”
ผมกำลังเผชิญหน้ากับโอกาสที่หนักหนาที่สุดของวันนี้ ผมอาจต้องเห็นเขาตาย เว้นแต่ว่าเรื่องจะกลับกัน ความเป็นไปได้ทั้งสองแบบทำเอาผมรู้สึกอยากจะอ้วก มันไม่ใช่ว่าผมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงลึกซึ้งกับเขาหรืออะไรแบบนั้นแล้วหรอกนะ แต่ความคิดที่ว่าผมต้องดูใครสักคนตายทำผมคลื่นไส้ เศร้า และโมโห…เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ถาม แต่การไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเหมือนกัน “โอเค ได้ ฉันทำได้”
“แน่นะ เรายังมีปัญหาเรื่องที่นายไม่ยอมออกจากบ้านอยู่ด้วย ไม่ว่านายจะเป็นเพื่อนคนสุดท้ายหรือไม่ก็ตาม ฉันจะไม่ใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลือซ่อนตัวอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของใครหรอกนะ และฉันไม่อยากให้นายทำอย่างนั้นด้วย เราต้องเจอกันครึ่งทาง มาเทโอ” รูฟัสบอก วิธีที่เขาเรียกชื่อผมให้ความรู้สึกปลอบประโลมกว่าที่ผมจินตนาการไว้ว่าคนประหลาดๆ อย่างร็อบบี้จะพูด มันให้ความรู้สึกเหมือนวาทยกรกำลังกล่าวคำพูดปลุกใจนักดนตรีก่อนเริ่มโชว์การแสดงที่ขายบัตรหมด “เชื่อฉันเถอะ ฉันรู้ว่าอะไรแย่ๆ อาจเกิดขึ้นข้างนอกนั่น มีอยู่จุดหนึ่งที่ฉันคิดว่าทุกอย่างนี่มันไม่คุ้มค่าเอาซะเลย”
“แล้วมีอะไรเปลี่ยนไปล่ะ” ผมไม่ได้อยากให้มันฟังดูเหมือนผมกำลังท้าทายเขา แต่มันก็ฟังดูเป็นอย่างนั้น ผมจะไม่ยอมปล่อยมือจากความปลอดภัยของอพาร์ตเมนต์ผมไปง่ายๆ หรอก “นายเสียครอบครัวไปแล้วยังไงต่อ”
“ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันอยู่แบบนี้ไม่ได้” รูฟัสพูด เขามองไปทางอื่น “และฉันพร้อมจะจบทุกอย่างลง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่กับพี่สาวของฉันต้องการให้ฉันทำ โคตรหักมุมเลย การมีชีวิตรอดแสดงให้ฉันเห็นว่าการมีชีวิตโดยหวังให้ตัวเองตายมันดีกว่าตายไปแล้วหวังให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ไปตลอด ถ้าฉันเสียทุกอย่างไปแล้วเปลี่ยนทัศนคติตัวเองได้ นายเองก็ต้องทำแบบนั้นเหมือนกันก่อนที่จะสายเกินไป พวก นายต้องเอาจริงได้แล้ว”
เอาจริง นั่นคือสิ่งที่ผมบอกไว้ในโพรไฟล์ เขาใส่ใจมากกว่าคนอื่นและแคร์ผมอย่างที่เพื่อนคนหนึ่งควรจะทำ
“โอเค” ผมพูด “แล้วเราต้องทำยังไงต่อ ต้องจับมือทักทายกันหรืออะไรอย่างนี้รึเปล่า” ผมหวังจริงๆ ว่าความไว้ใจในตัวผมจะไม่ทรยศผมอย่างที่มันเคยทำในอดีต
“เราค่อยจับมือทักทายตอนเจอกันก็ได้ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ฉันสัญญาว่าจะเป็นมาริโอให้ลุยจิของนาย แต่ฉันจะไม่ขโมยซีน เราควรเจอกันที่ไหนดี ฉันอยู่ข้างร้านขายยาทางใต้ของ…”
“ฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง” ผมพูดขึ้นมา เขาหรี่ตา คงกังวลเรื่องที่ผมกำลังจะบอกเขา “นายบอกว่าให้เรามาเจอกันครึ่งทางก็จริง แต่นายต้องมารับฉันที่บ้าน นี่ไม่ใช่กับดักนะ สาบานได้”
“ฟังดูเหมือนเป็นกับดักแฮะ” รูฟัสพูด “ฉันจะหาเพื่อนคนสุดท้ายใหม่”
“ไม่ใช่กับดักจริงๆ นะ! สาบานได้” ผมเกือบทำมือถือตก ผมทำทุกอย่างพังหมดเลย “จริงๆ นะ ฉัน…”
“ล้อเล่นน่า พวก” เขาบอก “เดี๋ยวฉันส่งเบอร์มือถือให้ นายจะได้ส่งที่อยู่มาให้ฉัน แล้วเราค่อยวางแผนกัน”
ผมโล่งอกเหมือนตอนที่แอนเดรียจากเดธแคสต์เรียกผมว่าทิโมธีตอนเธอโทรมาไม่มีผิด เป็นตอนที่ผมคิดว่าตัวเองโชคดีได้มีชีวิตต่อ เว้นแต่คราวนี้ผมสบายใจได้เต็มที่ “ตามนั้น” ผมตอบ
เขาไม่ได้บอกลาหรืออะไรเลย แค่มองผมนานขึ้นอีกหน่อย เหมือนกำลังพยายามอ่านท่าทีของผมหรืออาจสงสัยว่าที่จริงแล้วผมกำลังล่อเขาเข้าไปติดกับรึเปล่า
“แล้วเจอกัน มาเทโอ พยายามอย่าตายก่อนฉันไปถึงนะ”
“พยายามอย่าตายตอนนายมาที่นี่ล่ะ” ผมพูด “ดูแลตัวเองนะ รูฟัส”
รูฟัสพยักหน้าแล้วจบวิดีโอคอลล์ เขาส่งเบอร์มือถือมาให้ แล้วผมก็อยากลองโทรเช็กดูให้แน่ใจว่าเขาจะเป็นคนที่รับสาย ไม่ใช่คนโรคจิตที่จ้างเขาให้มาหาที่อยู่ของชายหนุ่มอายุน้อยไร้ทางสู้ แต่ถ้าผมเอาแต่คาดเดาการกระทำของรูฟัส การหาเพื่อนคนสุดท้ายจะไปไม่รอดเอา
ผมแอบกังวลหน่อยๆ เรื่องที่ต้องใช้เวลาวันสุดท้ายของผมกับคนที่ยอมรับการตายของตัวเองได้แล้ว และเป็นคนที่เคยทำเรื่องผิดพลาดมาก่อน ผมไม่รู้จักเขา ก็อย่างที่เห็น และเขาอาจกลายเป็นตัวอันตรายสุดๆ เลยก็ได้…เพราะถึงยังไงเขาก็อยู่ข้างนอกกลางดึกในวันที่เขาต้องตายนี่ แต่ไม่ว่าเราจะตัดสินใจเลือกทางไหน…จะอยู่คนเดียวหรือว่าอยู่ด้วยกัน…เราก็มุ่งไปสู่เส้นชัยจุดเดียวกันอยู่ดี มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะมองซ้ายมองขวากี่ครั้ง มันไม่สำคัญถ้าเราเลือกที่จะไม่ไปดิ่งพสุธาเพราะอยากปลอดภัยไว้ก่อน ถึงแม้ว่านั่นหมายความว่าเราจะไม่มีวันได้โบยบินเหมือนฮีโร่คนโปรดของเราก็ตาม มันไม่สำคัญถ้าเราจะก้มหน้ามองต่ำเวลาเดินผ่านแก๊งอันธพาลในย่านอันตราย
ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตยังไง สุดท้ายเราก็ตายอยู่ดี