everY
ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 9 – บทที่ 10 #นิยายวาย
รูฟัส
4:09 น.
เฮ้ มาเทโอน่ะเป็นคนดีเกินไป ผมไม่ระแวงเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาใจกล้าพอที่จะทำร้ายผมนี่ แต่ผมโคตรช็อกที่ได้เจอคนที่…จิตใจบริสุทธิ์ขนาดนี้ ผมไม่ได้จะบอกว่าที่ผ่านมารอบตัวผมมีแต่คนเฮงซวย แต่มัลคอล์มกับทาโกไม่มีวันเอานกมาฝังหรอกตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ขอพูดตามความจริงเลยเถอะให้ตาย การที่ผมอัดเพ็คไปในคืนนี้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ผมกล้าพนันด้วยอะไรก็ได้ว่ามาเทโอไม่รู้วิธีกำหมัดและจินตนาการว่าตัวเองใช้ความรุนแรงไม่ออก ไม่แม้กระทั่งตอนเขาเป็นเด็กที่ทำเรื่องโง่ๆ อะไรไปก็จะได้รับการให้อภัยและไม่โดนว่าอะไรแค่เพราะเขายังเด็กอยู่
ผมไม่มีวันบอกเขาเรื่องเพ็คแน่ เรื่องนี้จะตายไปพร้อมกับผม
“เราจะไปหาใครก่อน”
“พ่อฉัน เรานั่งรถไฟใต้ดินสายนี้ไปได้” มาเทโอชี้ “แค่สองป้ายไปทางดาวน์ทาวน์ แต่มันปลอดภัยกว่าเดินนะ”
แค่สองป้ายไปทางดาวน์ทาวน์ ผมปั่นจักรยานเร็วๆ ไปห้านาทีก็ถึง และผมรู้สึกว่าอยากไปเจอกับเขาที่นั่นเอามากกว่า แต่สัญชาตญาณบอกผมว่ามาเทโอจะทำพลาดแล้วปล่อยให้ผมรออยู่หน้าสถานีรถไฟ ผมเลยยกจักรยานตรงแฮนด์กับเบาะขึ้นแล้วลงบันไดไป ผมลากจักรยานเลี้ยวมุมในขณะที่มาเทโอยังยืนลังเลอยู่อย่างหวาดระแวง ผมเห็นเขาแอบมองเข้ามาข้างในก่อนจะตามผมมา เหมือนตอนที่ผมไปบ้านผีสิงในบรูกลินกับโอลิเวียเมื่อไม่กี่ปีก่อนเลย…เพียงแต่ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมไม่รู้ว่าเขาคิดว่าจะเห็นอะไร แต่ผมก็ไม่ได้ถาม
“ไม่เป็นไร” ผมพูด “ตรงนี้ปลอดภัย”
มาเทโอค่อยๆ เดินตามหลังผมมา ยังดูระแวงกับทางเดินโล่งๆ ที่นำไปสู่ประตูเหล็กหมุน “สงสัยจังว่ามีเดกเกอร์กี่คนที่ใช้เวลาอยู่กับคนแปลกหน้าตอนนี้ น่าจะมีตายไปหลายคนแล้ว ไม่รถชนก็ไฟไหม้ หรือโดนยิงไม่ก็ตกท่อ หรือ…” เขาหยุดตัวเองไว้ หมอนี่วาดภาพโศกนาฏกรรมในหัวเก่งจริงๆ “ถ้าพวกเขากำลังเดินทางไปบอกลาคนใกล้ชิดแล้ว…” มาเทโอตบมือ “ตายซะอย่างนั้น ไม่ยุติธรรมเลย…หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่คนเดียวนะ”
เรามาถึงตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟ “อืม ไม่ยุติธรรมเลย ฉันว่ามันไม่สำคัญหรอกว่านายจะอยู่กับใครตอนนายตาย การมีเพื่อนอยู่ด้วยไม่ได้ช่วยให้มีชีวิตรอดถ้าเดธแคสต์ดันโทรหานายขึ้นมา” คำพูดพวกนี้น่าจะเป็นคำต้องห้ามที่เพื่อนคนสุดท้ายไม่ควรพูด แต่ผมก็ไม่ได้ผิดนี่ ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกแย่นิดหน่อยตอนที่มาเทโอเงียบไปเพราะคำพูดพวกนั้น
เดกเกอร์จะได้รับสิทธิพิเศษอย่างนั่งรถไฟใต้ดินไม่จำกัดจำนวนครั้งฟรี คุณแค่ต้องทำเรื่องกับพนักงาน แต่ไอ้ ‘ไม่จำกัดจำนวนครั้ง’ นี่แม่งไร้สาระฉิบหายเพราะมันหมดอายุในวันสุดท้ายของคุณ เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ผมกับชาวพลูโตบอกพนักงานว่าเรากำลังจะตายเพื่อจะได้นั่งรถไฟฟรีผจญภัยไปสวนสนุกโคนี่ไอแลนด์ ก็นึกว่าเขาจะไม่อะไรกับเรามากและปล่อยให้เราเข้าไปไง แต่เปล่าเลย เขาให้เรารอรับการคอนเฟิร์มจากเซิร์ฟเวอร์ของเดธแคสต์ก่อน ซึ่งใช้เวลานานกว่ารอรถไฟสายด่วนอีก เราเลยชิ่งหนี ผมซื้อตั๋วไม่จำกัดจำนวนครั้งแบบไม่ใช่ของเดกเกอร์ เป็นตั๋วแบบ ‘ฉันยังมีพรุ่งนี้อยู่’ มาเทโอก็ซื้อเหมือนผม
เรารูดตั๋วเข้าไปในชานชาลา เท่าที่รู้ นี่อาจจะเป็นการนั่งรถไฟครั้งสุดท้ายของเราก็ได้
มาเทโอชี้ไปที่บูธ “บ้าดีเนอะ พอคิดว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าองค์การขนส่งจะไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานประจำสถานีแล้วเพราะเครื่องจักรหรือไม่ก็หุ่นยนต์จะมาทำหน้าที่แทนพวกเขา ความจริงเหมือนมันจะเกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำพอลองๆ คิดดู…”
เสียงดังสนั่นของรถไฟที่กำลังเข้ามาจอดกลืนเสียงมาเทโอไปในช่วงท้าย แต่ไม่เป็นไร ผมเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ชัยชนะที่แท้จริงของเราตอนนี้คือการได้ขึ้นรถไฟทันที ตอนนี้เรารอดจากการตกลงไปในรางรถไฟที่ไม่มีอะไรกั้นไว้ เราจะติดอยู่ข้างล่างนั่นในขณะที่หนูมากมายวิ่งผ่านเราไป ก่อนจะถูกรถไฟชนจนตัวขาดกระจุยแล้วโดนบี้ทับไปกับราง ให้ตายเถอะ ความสิ้นหวังของมาเทโอถูกส่งต่อมาให้ผมแล้ว
ผมเห็นว่ามีการจัดงานบนรถไฟก่อนประตูจะเปิดออกซะอีก เป็นงานแบบที่นักศึกษาจัดปาร์ตี้บนรถไฟเพื่อฉลองที่พวกเขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่มาเทโอกับผมได้รับ ปาร์ตี้ในหอคงน่าเบื่อไปแล้วมั้ง พวกเขาเลยมาสนุกกันบนรถไฟใต้ดินแทน และตอนนี้เรากำลังจะเข้าไปร่วมกับพวกเขา เวรเอ๊ย “ไปกันเถอะ” ผมบอกมาเทโอตอนประตูเปิดออก “เร็วสิ” ผมเร่งเขาแล้วลากจักรยานเข้าไปข้างใน ผมขอให้ใครสักคนขยับที่ให้เรา ตอนผมหันไปดูว่าล้อหลังของจักรยานผมไปขวางทางมาเทโอรึเปล่า ผมถึงเห็นว่าเขาไม่ได้ตามผมมา
มาเทโอยืนอยู่ข้างนอก เขาส่ายหน้า และในวินาทีสุดท้ายก่อนประตูจะปิดลง เขาก็พุ่งไปขึ้นรถไฟตู้โล่งๆ ข้างหน้าตู้ของผม เป็นตู้ที่ผู้โดยสารพากันหลับหมดและไม่ได้เปิดเพลง ‘Celebration’ เวอร์ชั่นรีมิกซ์เสียงดังกระหึ่ม (เป็นเพลงประจำปาร์ตี้สุดคลาสสิก แต่ควรเลิกใช้ได้แล้วมั้ง)
ฟังนะ ผมไม่รู้ว่าทำไมมาเทโอถึงกลัวขึ้นมาในตอนสุดท้าย แต่นั่นจะไม่ทำให้ผมอารมณ์เสียหรอก นี่มันก็แค่ปาร์ตี้รถไฟ ผมไม่ได้ขอให้เขาไปโดดบันจี้จัมพ์หรือดิ่งพสุธาสักหน่อย เราอยู่ห่างจากอาณาเขตอันตรายเยอะ
เพลง ‘We Built This City’ ดังขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนที่นั่งพร้อมสเตอริโอเครื่องเล็กสองเครื่องแล้วเต้น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังจีบเธอ แต่เธอหลับตาและหลงอยู่ในช่วงเวลาของตัวเอง ตรงมุมรถไฟมีผู้ชายสวมฮู้ดคลุมหน้าคนหนึ่งหลับอยู่ เขาคงสนุกมากไปหน่อยหรือไม่ก็มีเดกเกอร์ที่ตายแล้วอยู่ในนี้
ไม่ตลกสินะ
ผมพิงจักรยานไว้ตรงที่นั่งที่ว่างอยู่ ใช่แล้ว ผมคือคนที่ทำจักรยานตัวเองเกะกะขวางทางคนอื่นตลอด แต่ผมกำลังจะตาย เพราะงั้นอย่าอะไรกับผมมากเลย ผมเดินข้ามเท้าผู้ชายคนที่หลับอยู่เพื่อไปส่องรถไฟอีกตู้ มาเทโอจ้องรถไฟตู้ของผมเหมือนเด็กที่ถูกกักบริเวณและโดนบังคับให้ดูเพื่อนเล่นกันจากหน้าต่างห้องนอน ผมกวักมือให้เขามาที่ตู้นี้ แต่เขาส่ายหน้าแล้วก้มลงมองพื้น ไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมอีก
มีคนสะกิดไหล่ ผมหันไปเจอเข้ากับสาวผิวสีสวยเฉียบตาสีน้ำตาลเฮเซล เธอถือเบียร์สองกระป๋องไว้ในมือ “สักหน่อยไหม”
“ไม่เป็นไร” ผมไม่ควรเมาตอนนี้
“งั้นฉันก็เบิ้ลสอง ฉันชื่อคัลลี่นะ”
ผมฟังไม่ค่อยถนัด “เคลลี่เหรอ”
เธอโน้มตัวมาหาผม หน้าอกเธอเบียดอกผม ริมฝีปากเธอชิดหูผม “คัลลี่!”
“ไง คัลลี่ ฉันรูฟัส” ผมตอบข้างหูเธอเพราะยังไงเธอก็อยู่นี่แล้ว “เธอกำลัง…”
“ฉันจะลงสถานีต่อไป” เธอขัดขึ้นมา “อยากลงไปกับฉันไหม นายน่ารักแถมท่าทางนิสัยดีด้วยแฮะ”
เธอน่ะสเป็กผมเลย ซึ่งหมายความว่าเธอก็เป็นสเป็กของทาโกด้วย (สเป็กของมัลคอล์มคือผู้หญิงคนไหนก็ตามที่ชอบเขาตอบ) แต่ผมให้อะไรเธอไม่ได้มากหรอกนอกจากสิ่งที่เธอเสนออยู่เห็นๆ แต่ผมคงต้องขอผ่าน การมีเซ็กซ์กับนักศึกษาสาวน่าจะเป็นรายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายของคนบ้าแหงๆ ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว คนที่แต่งงานแล้ว ผู้หญิง ผู้ชาย คุณเข้าใจแหละ
“ไม่ล่ะ” ผมพูด ผมต้องช่วยหนุนหลังมาเทโอ แถมเอมี่ยังอยู่ในหัวผมอยู่เลย ผมจะไม่พยายามทรยศสิ่งนั้นด้วยอะไรปลอมๆ แบบนี้หรอก
“ต้องได้สิ!”
“ฉันไปด้วยไม่ได้จริงๆ น่าเสียดายนะ” ผมบอก “ฉันต้องพาเพื่อนไปหาพ่อที่โรงพยาบาล”
“ช่างนายละกัน” คัลลี่หันหลังไป แล้วเธอก็ไปคุยกับผู้ชายอีกคนในเวลาไม่ถึงนาที ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ เพราะเขาตามเธอลงจากรถไฟตอนถึงสถานีที่เธอจะลงจริงๆ บางทีคัลลี่กับผู้ชายคนนั้นอาจแก่เฒ่าไปด้วยกัน พวกเขาจะเล่าให้ลูกๆ ฟังว่าเจอกันในปาร์ตี้รถไฟใต้ดิน แต่ผมกล้าพนันเลยว่าพวกเขาจะแค่มีเซ็กซ์กันคืนนี้แล้วตอนเช้าเขาจะเรียกเธอว่า ‘เคลลี่’
ผมถ่ายภาพความมีชีวิตชีวาในรถไฟตู้นี้ ทั้งผู้ชายที่ได้รับความสนใจจากสาวสวยคนนั้นจนได้ ทั้งสองฝาแฝดที่กำลังเต้นด้วยกัน ทั้งกระป๋องเบียร์กับขวดน้ำที่ถูกบี้จนแบน และความรู้สึกมีชีวิตของทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง คว้าจักรยาน แล้วลากมันผ่านประตูที่เชื่อมรถไฟแต่ละตู้ บนประตูมีป้ายประกาศที่คอยย้ำเตือนเราว่าให้ใช้ในเวลาฉุกเฉินเท่านั้น ผมไม่สนป้ายนี้หรอกไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายหรือไม่ก็ตาม อากาศในอุโมงค์เย็นเฉียบ และผมคงไม่คิดถึงเสียงล้อครูดรางดังแสบแก้วหูนี่หรอก ผมเข้าไปในรถไฟอีกตู้ แต่มาเทโอยังคงก้มหน้ามองพื้น
ผมนั่งลงข้างเขาแล้วกะจะใส่เขาสักหน่อย บอกว่าผมปฏิเสธที่จะมีเซ็กซ์กับสาวที่โตกว่าในวันสุดท้ายเพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาวเพราะว่าผมเป็นเพื่อนคนสุดท้ายที่ดี แต่เห็นได้ชัดเลยว่าผมไม่จำเป็นต้องทำให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้ “เฮ้ เล่าเรื่องหุ่นยนต์นั่นต่อสิ ไอ้ตัวที่จะมาแย่งงานทุกคนไปน่ะ”
มาเทโอหยุดมองพื้นไปวิหนึ่ง เขาหันมาดูว่าผมแหย่เขาเล่นรึเปล่า แต่เปล่าเลย ผมโอเคกับทุกอย่างนี่สุดๆ เขายิ้มขึ้นมาแล้วจ้อไม่หยุด “คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ เลยเพราะวิวัฒนาการไม่เคยเกิดขึ้นเร็วหรอก แต่ตอนนี้เรามีหุ่นยนต์แล้ว นายรู้ใช่ไหม เรามีหุ่นยนต์ที่ทำอาหารและขนถ้วยชามออกจากเครื่องล้างจานให้เราได้ แถมนายยังสอนให้มันจับมือทักทายแบบเฉพาะได้ด้วย และนั่นมันสุดยอดไปเลย พวกมันเล่นรูบิคได้ด้วยนะ ฉันถึงกับเคยดูคลิปหุ่นยนต์เต้นเบรกแดนซ์ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง แต่นายคิดไหมว่าหุ่นยนต์พวกนี้คือตัวเบี่ยงเบนความสนใจชั้นยอดในระหว่างที่หุ่นยนต์ตัวอื่นกำลังถูกฝึกให้ทำงานอยู่ในกองบัญชาการหุ่นยนต์ใต้ดิน คือเขาจะจ้างคนบอกทางตั้งยี่สิบดอลลาร์ต่อชั่วโมงไปทำไมในเมื่อมือถือเราก็บอกทางได้แล้ว หรือดีกว่านั้นอีกคือจะมีหุ่นยนต์ช่วยนำทางให้เรา จบกันล่ะทีนี้” มาเทโอหยุดพูด เขาไม่ยิ้มแล้ว
“หมดสนุกเลยล่ะสิ”
“อืม” มาเทโอตอบ
“อย่างน้อยนายก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าบอสจะไล่นายออกแล้วเอาหุ่นยนต์มาทำงานแทนไหม” ผมบอกเขา
“เป็นด้านดีที่ดาร์กใช้ได้เลย” มาเทโอพูด
“พวก วันนี้น่ะคือด้านดีที่โคตรดาร์ก ว่าแต่ทำไมนายถึงไม่ขึ้นรถไฟที่เขาปาร์ตี้กันล่ะ”
“เราไม่มีธุระอะไรกับรถไฟตู้นั้น” มาเทโอตอบ “เราจะฉลองอะไรกันล่ะ ที่เราจะตายเหรอ ฉันจะไม่พยายามเต้นกับคนแปลกหน้าระหว่างทางไปบอกลาพ่อกับเพื่อนสนิททั้งๆ ที่รู้ดีว่าอาจจะไปไม่ถึงพวกเขาหรอก ปาร์ตี้ไม่ใช่แนวของฉัน และฉันก็ไม่ได้รู้จักพวกเขาด้วย”
“มันก็แค่ปาร์ตี้เอง” รถไฟหยุดลง เขาไม่ตอบอะไร การที่มาเทโอเป็นพวกไม่ยอมเสี่ยงอันตรายอาจช่วยให้เรามีชีวิตรอดนานขึ้นก็จริง แต่ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่น่าจดจำหรอก
เอมี่ ดูบัวส์
4:17 น.
เดธแคสต์ไม่ได้โทรหาเอมี่ ดูบัวส์เพราะเธอไม่ได้ตายวันนี้ แต่เธอกำลังจะเสียรูฟัสไป…อันที่จริงเธอเสียเขาไปแล้วเพราะแฟนหนุ่มของเธอเอง
เอมี่ก้าวขาฉับๆ กลับบ้านโดยมีเพ็คตามหลังเธอมา “นายมันปีศาจชัดๆ ต้องเป็นคนยังไงถึงได้พยายามทำให้คนคนหนึ่งโดนจับกลางงานศพของตัวเองน่ะ”
“ฉันโดนผู้ชายสามคนรุมซ้อมนะ!”
“มัลคอล์มกับทาโกไม่ได้แตะนายเลย! แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะเข้าคุก”
เพ็คถ่มน้ำลาย “พวกมันปากมากเอง ไม่ใช่ความผิดฉันสักหน่อย”
“ให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะ ฉันรู้ว่านายไม่เคยชอบรูฟัส และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้นายชอบเลยด้วย แต่เขาก็ยังสำคัญกับฉันมากๆ อยู่ดี ฉันยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิตเสมอ แต่ตอนนี้เขาจะไม่อยู่แล้ว และฉันมีเวลากับเขาน้อยลงก็เพราะนาย ถ้าฉันไม่ได้เจอเขา ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้านายเหมือนกัน”
“เธอจะเลิกกับฉันเหรอ”
เอมี่หยุดเดิน เธอไม่อยากหันไปทางเพ็คเพราะเธอยังไม่ได้คิดถึงคำถามนี้ ทุกคนทำเรื่องผิดพลาด รูฟัสทำพลาดที่ไปทำร้ายเพ็ค ส่วนเพ็คก็ไม่ควรบอกเพื่อนเขาให้แจ้งตำรวจจับรูฟัส แต่ที่เขาทำแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก ในทางกฎหมายน่ะไม่ผิด แต่ในทางศีลธรรมน่ะเหรอ ผิดเต็มๆ
“เธอให้เขามาก่อนฉันตลอดเลย” เพ็คพูด “ฉันคือคนที่เธอมาหาตลอดไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ไม่ใช่ผู้ชายที่เกือบจะฆ่าฉัน ลองคิดดูเอาเองละกัน”
เอมี่จ้องเพ็ค เขาคือวัยรุ่นผิวขาวที่ใส่กางเกงยีนเกาะสะโพกกับสเว็ตเตอร์ตัวหลวมโพรกและมีเลือดแห้งกรังบนใบหน้าเพราะว่าเขาคบกับเธอ
เพ็คเดินไปจากเธอ และเอมี่ก็ปล่อยให้เขาไป
เธอไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงกับเพ็คในโลกสีเทาใบนี้
เธอไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกยังไงกับตัวเอง