ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 6 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 6 หนึ่งสระน้ำ

ลมภูเขาพัดม้วนละอองหิมะเข้าศาลบรรพชน ตลบฟุ้งโปรยปราย

เปลวเทียนหน้าโต๊ะตั้งของเซ่นไหว้ส่ายไหว สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาแดงก่ำที่เอ่อคลอด้วยน้ำตา

เจ้าสำนักหานซานเรียกหาหัวหน้าฝ่ายการกิจ “ให้ใครก็ได้รีบพยุงอาวุโสเมิ่งไปพักผ่อนที่โถงข้าง!”

เขากลัวว่าหากเมิ่งเสวี่ยหลี่มีเรื่องกระทบกระเทือนใจอีกอาจปลิดชีวิตบูชารัก ห้าก้าวโลหิตซ่านเซ็น

ริมฝีปากเรียวบางของชายหนุ่มเม้มน้อยๆ เดินตามผู้รับใช้ออกไปด้านนอก เห็นสภาพการณ์เช่นนั้นผู้คนจากแต่ละสำนักก็ต่างพากันชักเท้าถอยเปิดทาง

ไม่ว่าในใจจะครุ่นคิดอะไร มีมุมมองต่อเมิ่งเสวี่ยหลี่แบบใด ภายใต้สถานการณ์อย่างในเวลานี้ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะแบกรับถ้อยคำบริภาษ ‘บีบบังคับให้คู่ร่วมบำเพ็ญม่ายของจี้เซียวเจินเหรินต้องฆ่าตัวตายต่อหน้าป้ายวิญญาณ’ ไว้กับตัว

 

โถงหน้าของสำนักหานซานที่มีไว้จัดงานประชุมต้อนรับแขกแลดูงามสง่าโอ่โถงน่าเกรงขาม โถงข้างด้านหนึ่งแม้จะมีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ทว่าการจัดวางกลับสุขสบายตามวัตถุประสงค์ โถงเล็กแห่งนี้ปกติแล้วเจ้าสำนักมักใช้ปรึกษาการกิจร่วมกับเหล่าผู้อาวุโสและประมุขยอดเขาต่างๆ

เมิ่งเสวี่ยหลี่เอนหลังอยู่บนเก้าอี้เบาะอ่อนในโถงข้าง มีหัวหน้าฝ่ายการกิจคอยชงชากล่อมจิตประสาทให้

ชาสีอำพัน ไอร้อนสีขาวลอยอ้อยอิ่ง เมิ่งเสวี่ยหลี่ประคองถ้วยชาไว้ในมือ ยิ้มกล่าวขอบคุณ

หัวหน้าฝ่ายการกิจทำเพียงถอนหายใจ

หลังเมิ่งเสวี่ยหลี่ดื่มชาเสร็จก็มีคนนำเมล็ดแตงกับของว่างอีกสองสามจานเข้ามา

ก่อนมาศาลบรรพชนเมิ่งเสวี่ยหลี่เพิ่งกินอิ่มจึงกล่าวปรามอีกฝ่าย “ข้ากินไม่ลง อย่าได้สิ้นเปลืองเลย”

หัวหน้าฝ่ายการกิจกล่าวเตือน “สุขภาพสำคัญ ท่านก็กินสักหน่อยเถอะ”

ฟ้าเริ่มมืดลงทีละน้อย ครั้นโคมเทียนในโถงเริ่มถูกจุด เสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านนอก ประมุขยอดเขาหานซานต่างพูดคุยสัพเพเหระกันพลางเดินเข้ามาในห้องโถง

หลังส่งแขกพวกเขาต่างราวกับยกภูเขาออกจากอก ท่าทีเคร่งขรึมยามอยู่ในศาลบรรพชนเลือนหายหมดสิ้น

แต่เดิมหานซานมียอดเขาย่อยอยู่ด้วยกันห้าแห่ง ได้แก่ไท่อัน เยวี่ยเชวีย จ้งปี้ หลิวหลัน จื่อเยียน แต่หลังจี้เซียวกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ร่วมเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญ ยอดเขาฉางชุนก็ได้รับการบรรจุเพิ่มเติมขึ้นเป็นยอดเขาลูกที่หก

เมิ่งเสวี่ยหลี่กำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับ แต่เจ้าสำนักกลับโบกมือเป็นสัญญาณบอกให้เขานั่งลง

นอกจากเจี้ยนเวยเจินเหรินผู้เป็นเจ้าสำนักที่เข้าไปนั่งอยู่บนที่นั่งผู้นำแล้ว ประมุขยอดเขาคนอื่นๆ ล้วนนั่งกันตามสบาย บ้างก็ยิ้มให้เขา บ้างก็พูดคุยพยักหน้า เทียบกับตอนงานพิธีร่วมคู่บำเพ็ญเมื่อสามปีก่อนแล้ว แม้จะเปี่ยมไปด้วยมารยาทแต่ก็ห่างเหิน ไม่เหมือนยามนี้ที่แลดูสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่า

“เรื่องแดนสนธยาฮั่นไห่ เจ้าคิดดีแล้วจริงหรือ” เจ้าสำนักถาม

เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้า ยังไม่ทันปริปากก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งพูดอย่างเร่งร้อน

“เมื่อครู่ต่อหน้าสำนักต่างๆ เจ้าพูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยามนี้คิดเปลี่ยนใจคงสายแล้ว!”

ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียในวัยกลางคน รูปกายผอมสูง นิสัยหุนหันพลันแล่นกว่าใคร วันนี้ยามต้อนรับขับสู้เจ้าสำนักอื่นๆ เขาสะกดอารมณ์ไว้เต็มท้องนานแล้ว

ประมุขยอดเขาจ้งปี้พูดเสริม “ไม่สายๆ ถือสันโดษ ล้มป่วย หลงทาง วิธีการมีอยู่มากมาย”

รูปร่างของประมุขยอดเขาจ้งปี้ค่อนข้างอวบอ้วน รอยยิ้มอ่อนโยน ที่อยู่บนศีรษะคือหมวกสูง ดูไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ ตรงกันข้ามกลับเหมือนปัญญาชนผู้ชอบศึกษาตำรามากกว่า

ประมุขยอดเขาหลิวหลันพูดตัดบท “สิ่งที่เจ้าพูดเรียกว่าวิธีการได้หรือไรกัน เหลวไหลสิ้นดี ไม่รู้จักให้เกียรติต่อความมุ่งมาดปรารถนาของผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย!”

คนผู้นี้คิ้วเครายาวเฟื้อย ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลวิหารถกสัจธรรมมานานปี ชอบทำหน้าบึ้งเสียงดังอยู่เป็นประจำ

ประมุขยอดเขาจ้งปี้ยิ้มหยัน “หรือจะให้รอดูเขาฆ่าตัวตายก่อนถึงจะเรียกว่าให้เกียรติ วสันต์แรกของปีหน้ายามเขาอยู่พร้อมหน้ากับจี้เซียวในปรโลก หากจี้เซียวถามว่าเจ้ามาได้อย่างไร เกิดเขาบอกว่าสำนักของท่านไร้สามารถ แม้แต่ข้าก็ปกป้องไม่ได้…พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถึงตอนนั้นจี้เซียวจะรู้สึกเช่นไร”

ทุกคนต่างโต้เถียงกันไม่หยุด เมิ่งเสวี่ยหลี่คว้าเมล็ดแตงขึ้นมากินพลางมองดูพวกเขาพูดคุยกันคึกคัก

ประมุขยอดเขาหลิวหลันเหลือบตามองปราดหนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มสายตาโง่งม ราวกับไม่รู้ว่าปีหน้าแรกวสันต์จะมีภยันตรายมาเยือน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าววาจาเข้มงวดอบรมเมิ่งเสวี่ยหลี่ “เหตุใดจี้เซียวถึงเลี้ยงดูเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้! หากเจ้ายังไม่รู้จักทำตัวให้ฉลาดกว่านี้อีกสักหน่อย วันหน้า…” แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าตนเองทำเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับเอาเรื่องความเป็นความตายไปพูดกับเด็ก เมิ่งเสวี่ยหลี่ไหนเลยจะเข้าใจ จึงได้แต่ตบโต๊ะตวาด “วันหน้าแม้แต่เมล็ดแตงก็ไม่มีให้กิน!”

เมิ่งเสวี่ยหลี่มือสั่น เมล็ดแตงหล่นตกพื้นดังกราว

ประมุขยอดเขาจื่อเยียนชำเลืองมองประมุขยอดเขาหลิวหลันคราหนึ่ง ก่อนจะกระซิบบอก “ตะโกนอะไรของเจ้า ดูสิ ชาวบ้านตกอกตกใจหมดแล้ว”

นางเป็นสตรีรูปโฉมงดงาม โบกพัดสีม่วงในมือไปมาช้าๆ “ข้ามีข้อเสนอ พวกเราจัดเตรียมศิษย์คนสนิทที่วางใจได้สักหลายๆ คนร่วมเดินทางไปกับเขา เลือกใช้เส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ขอเพียงเลี่ยงการประลองได้เจ็ดวัน ถึงตอนนั้นย่อมสามารถสละสิทธิ์ ส่งเขาออกจากแดนสนธยาผ่านทางค่ายเวทเคลื่อนย้ายได้” นางหันมองไปทางเมิ่งเสวี่ยหลี่ “เจ้าก็ถือเสียว่าไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายชมทัศนียภาพยามวสันต์ก็แล้วกัน”

“ก็คงได้แต่ทำเช่นนั้น” เจ้าสำนักถาม “ตอนจี้เซียวยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยสอนวิธีป้องกันตัวอะไรให้เจ้าบ้าง”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบตามตรง “เขาไม่เคยสอนอะไรข้า หากแต่ทิ้งโอสถวิเศษกับเวทศัสตราให้ข้าไว้ไม่น้อย”

“จะหวังพึ่งพาแต่ข้าวของนอกกายพวกนั้นได้เช่นไร” ประมุขยอดเขาหลิวหลันถอนหายใจยาว “จี้เซียวฉลาดเฉียบแหลมมาชั่วชีวิต แต่เหตุใดกับเรื่องของเจ้าถึงเหลวไหลเช่นนี้ได้!”

ประมุขยอดเขาจื่อเยียนกล่าว “กว่าจะถึงงานประลองยังมีเวลาอีกสี่เดือน ช่วงนี้เจ้าต้องไปวิหารถกสัจธรรม หอเก็บคัมภีร์ ลานสำแดงกระบี่ ศึกษาเรียนรู้ให้มาก ไม่เข้าใจก็ถาม ฝึกใช้เวทศัสตราเหล่านั้นให้ชำนาญ”

หานซานตั้งสำนักขึ้นโดยอาศัยมรรคากระบี่ แต่นางกลับไม่พูดถึงเรื่องฝึกกระบี่เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็เพราะวันเวลาเหลืออีกไม่มาก ไม่มีทางฝึกกระบี่ได้ทัน

เจี้ยนเวยเจินเหรินเจ้าสำนักกล่าว “เอาล่ะ เสวี่ยหลี่ วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ลุกขึ้นแสดงคารวะพร้อมกล่าวขอบคุณประมุขยอดเขาทุกคน

หลังเขาจากไป โถงข้างกลับยังคงสว่างไสว

ประมุขยอดเขาจ้งปี้บอกกับประมุขยอดเขาจื่อเยียน “ศิษย์น้อง ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าชิงชังเขาที่สุด”

ประมุขยอดเขาจื่อเยียนยิ้ม “ข้าไม่เห็นเขาขวางหูขวางตามิได้หรือไร วันนี้แต่ละสำนักล้วนวางท่าเหิมเกริม โชคดีที่ได้เมิ่งเสวี่ยหลี่ทำป่วนกลางศาลบรรพชน จนคนพวกนั้นรักษาหน้าแทบไม่อยู่รีบร้อนลงเขาไป…ก่อนนี้เพราะรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับจี้เซียวจึงเข้าใจเขาผิด พวกเขาสองคนชอบกันด้วยใจจริง แล้วมีอันใดคู่ควรไม่คู่ควร หากข้ามีคู่ร่วมบำเพ็ญที่ยอมสละชีวิตเพื่อข้าหลังข้าลาลับโลกนี้ไป ข้า…”

“ศิษย์น้องระวังคำด้วย!” ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียตัดบทนาง

ผู้บำเพ็ญพรตในแดนมนุษย์ล้วนเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกหล้ามีสำนึกรู้สึก แสลงต่อการพูดถึงตนเองในแง่ร้าย น้อยนักที่จะมีคนเหมือนอย่างเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่อ้าปากพูด ‘ข้าตามเขาไปอีกคนแล้วจะเป็นอย่างไร’

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com