everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 6 #นิยายวาย
บทที่ 6 หนึ่งสระน้ำ
ลมภูเขาพัดม้วนละอองหิมะเข้าศาลบรรพชน ตลบฟุ้งโปรยปราย
เปลวเทียนหน้าโต๊ะตั้งของเซ่นไหว้ส่ายไหว สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาแดงก่ำที่เอ่อคลอด้วยน้ำตา
เจ้าสำนักหานซานเรียกหาหัวหน้าฝ่ายการกิจ “ให้ใครก็ได้รีบพยุงอาวุโสเมิ่งไปพักผ่อนที่โถงข้าง!”
เขากลัวว่าหากเมิ่งเสวี่ยหลี่มีเรื่องกระทบกระเทือนใจอีกอาจปลิดชีวิตบูชารัก ห้าก้าวโลหิตซ่านเซ็น
ริมฝีปากเรียวบางของชายหนุ่มเม้มน้อยๆ เดินตามผู้รับใช้ออกไปด้านนอก เห็นสภาพการณ์เช่นนั้นผู้คนจากแต่ละสำนักก็ต่างพากันชักเท้าถอยเปิดทาง
ไม่ว่าในใจจะครุ่นคิดอะไร มีมุมมองต่อเมิ่งเสวี่ยหลี่แบบใด ภายใต้สถานการณ์อย่างในเวลานี้ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะแบกรับถ้อยคำบริภาษ ‘บีบบังคับให้คู่ร่วมบำเพ็ญม่ายของจี้เซียวเจินเหรินต้องฆ่าตัวตายต่อหน้าป้ายวิญญาณ’ ไว้กับตัว
โถงหน้าของสำนักหานซานที่มีไว้จัดงานประชุมต้อนรับแขกแลดูงามสง่าโอ่โถงน่าเกรงขาม โถงข้างด้านหนึ่งแม้จะมีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ทว่าการจัดวางกลับสุขสบายตามวัตถุประสงค์ โถงเล็กแห่งนี้ปกติแล้วเจ้าสำนักมักใช้ปรึกษาการกิจร่วมกับเหล่าผู้อาวุโสและประมุขยอดเขาต่างๆ
เมิ่งเสวี่ยหลี่เอนหลังอยู่บนเก้าอี้เบาะอ่อนในโถงข้าง มีหัวหน้าฝ่ายการกิจคอยชงชากล่อมจิตประสาทให้
ชาสีอำพัน ไอร้อนสีขาวลอยอ้อยอิ่ง เมิ่งเสวี่ยหลี่ประคองถ้วยชาไว้ในมือ ยิ้มกล่าวขอบคุณ
หัวหน้าฝ่ายการกิจทำเพียงถอนหายใจ
หลังเมิ่งเสวี่ยหลี่ดื่มชาเสร็จก็มีคนนำเมล็ดแตงกับของว่างอีกสองสามจานเข้ามา
ก่อนมาศาลบรรพชนเมิ่งเสวี่ยหลี่เพิ่งกินอิ่มจึงกล่าวปรามอีกฝ่าย “ข้ากินไม่ลง อย่าได้สิ้นเปลืองเลย”
หัวหน้าฝ่ายการกิจกล่าวเตือน “สุขภาพสำคัญ ท่านก็กินสักหน่อยเถอะ”
ฟ้าเริ่มมืดลงทีละน้อย ครั้นโคมเทียนในโถงเริ่มถูกจุด เสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านนอก ประมุขยอดเขาหานซานต่างพูดคุยสัพเพเหระกันพลางเดินเข้ามาในห้องโถง
หลังส่งแขกพวกเขาต่างราวกับยกภูเขาออกจากอก ท่าทีเคร่งขรึมยามอยู่ในศาลบรรพชนเลือนหายหมดสิ้น
แต่เดิมหานซานมียอดเขาย่อยอยู่ด้วยกันห้าแห่ง ได้แก่ไท่อัน เยวี่ยเชวีย จ้งปี้ หลิวหลัน จื่อเยียน แต่หลังจี้เซียวกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ร่วมเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญ ยอดเขาฉางชุนก็ได้รับการบรรจุเพิ่มเติมขึ้นเป็นยอดเขาลูกที่หก
เมิ่งเสวี่ยหลี่กำลังจะลุกขึ้นไปต้อนรับ แต่เจ้าสำนักกลับโบกมือเป็นสัญญาณบอกให้เขานั่งลง
นอกจากเจี้ยนเวยเจินเหรินผู้เป็นเจ้าสำนักที่เข้าไปนั่งอยู่บนที่นั่งผู้นำแล้ว ประมุขยอดเขาคนอื่นๆ ล้วนนั่งกันตามสบาย บ้างก็ยิ้มให้เขา บ้างก็พูดคุยพยักหน้า เทียบกับตอนงานพิธีร่วมคู่บำเพ็ญเมื่อสามปีก่อนแล้ว แม้จะเปี่ยมไปด้วยมารยาทแต่ก็ห่างเหิน ไม่เหมือนยามนี้ที่แลดูสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่า
“เรื่องแดนสนธยาฮั่นไห่ เจ้าคิดดีแล้วจริงหรือ” เจ้าสำนักถาม
เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้า ยังไม่ทันปริปากก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งพูดอย่างเร่งร้อน
“เมื่อครู่ต่อหน้าสำนักต่างๆ เจ้าพูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยามนี้คิดเปลี่ยนใจคงสายแล้ว!”
ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียในวัยกลางคน รูปกายผอมสูง นิสัยหุนหันพลันแล่นกว่าใคร วันนี้ยามต้อนรับขับสู้เจ้าสำนักอื่นๆ เขาสะกดอารมณ์ไว้เต็มท้องนานแล้ว
ประมุขยอดเขาจ้งปี้พูดเสริม “ไม่สายๆ ถือสันโดษ ล้มป่วย หลงทาง วิธีการมีอยู่มากมาย”
รูปร่างของประมุขยอดเขาจ้งปี้ค่อนข้างอวบอ้วน รอยยิ้มอ่อนโยน ที่อยู่บนศีรษะคือหมวกสูง ดูไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ ตรงกันข้ามกลับเหมือนปัญญาชนผู้ชอบศึกษาตำรามากกว่า
ประมุขยอดเขาหลิวหลันพูดตัดบท “สิ่งที่เจ้าพูดเรียกว่าวิธีการได้หรือไรกัน เหลวไหลสิ้นดี ไม่รู้จักให้เกียรติต่อความมุ่งมาดปรารถนาของผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย!”
คนผู้นี้คิ้วเครายาวเฟื้อย ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลวิหารถกสัจธรรมมานานปี ชอบทำหน้าบึ้งเสียงดังอยู่เป็นประจำ
ประมุขยอดเขาจ้งปี้ยิ้มหยัน “หรือจะให้รอดูเขาฆ่าตัวตายก่อนถึงจะเรียกว่าให้เกียรติ วสันต์แรกของปีหน้ายามเขาอยู่พร้อมหน้ากับจี้เซียวในปรโลก หากจี้เซียวถามว่าเจ้ามาได้อย่างไร เกิดเขาบอกว่าสำนักของท่านไร้สามารถ แม้แต่ข้าก็ปกป้องไม่ได้…พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถึงตอนนั้นจี้เซียวจะรู้สึกเช่นไร”
ทุกคนต่างโต้เถียงกันไม่หยุด เมิ่งเสวี่ยหลี่คว้าเมล็ดแตงขึ้นมากินพลางมองดูพวกเขาพูดคุยกันคึกคัก
ประมุขยอดเขาหลิวหลันเหลือบตามองปราดหนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มสายตาโง่งม ราวกับไม่รู้ว่าปีหน้าแรกวสันต์จะมีภยันตรายมาเยือน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าววาจาเข้มงวดอบรมเมิ่งเสวี่ยหลี่ “เหตุใดจี้เซียวถึงเลี้ยงดูเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้! หากเจ้ายังไม่รู้จักทำตัวให้ฉลาดกว่านี้อีกสักหน่อย วันหน้า…” แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าตนเองทำเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับเอาเรื่องความเป็นความตายไปพูดกับเด็ก เมิ่งเสวี่ยหลี่ไหนเลยจะเข้าใจ จึงได้แต่ตบโต๊ะตวาด “วันหน้าแม้แต่เมล็ดแตงก็ไม่มีให้กิน!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่มือสั่น เมล็ดแตงหล่นตกพื้นดังกราว
ประมุขยอดเขาจื่อเยียนชำเลืองมองประมุขยอดเขาหลิวหลันคราหนึ่ง ก่อนจะกระซิบบอก “ตะโกนอะไรของเจ้า ดูสิ ชาวบ้านตกอกตกใจหมดแล้ว”
นางเป็นสตรีรูปโฉมงดงาม โบกพัดสีม่วงในมือไปมาช้าๆ “ข้ามีข้อเสนอ พวกเราจัดเตรียมศิษย์คนสนิทที่วางใจได้สักหลายๆ คนร่วมเดินทางไปกับเขา เลือกใช้เส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ขอเพียงเลี่ยงการประลองได้เจ็ดวัน ถึงตอนนั้นย่อมสามารถสละสิทธิ์ ส่งเขาออกจากแดนสนธยาผ่านทางค่ายเวทเคลื่อนย้ายได้” นางหันมองไปทางเมิ่งเสวี่ยหลี่ “เจ้าก็ถือเสียว่าไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายชมทัศนียภาพยามวสันต์ก็แล้วกัน”
“ก็คงได้แต่ทำเช่นนั้น” เจ้าสำนักถาม “ตอนจี้เซียวยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยสอนวิธีป้องกันตัวอะไรให้เจ้าบ้าง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบตามตรง “เขาไม่เคยสอนอะไรข้า หากแต่ทิ้งโอสถวิเศษกับเวทศัสตราให้ข้าไว้ไม่น้อย”
“จะหวังพึ่งพาแต่ข้าวของนอกกายพวกนั้นได้เช่นไร” ประมุขยอดเขาหลิวหลันถอนหายใจยาว “จี้เซียวฉลาดเฉียบแหลมมาชั่วชีวิต แต่เหตุใดกับเรื่องของเจ้าถึงเหลวไหลเช่นนี้ได้!”
ประมุขยอดเขาจื่อเยียนกล่าว “กว่าจะถึงงานประลองยังมีเวลาอีกสี่เดือน ช่วงนี้เจ้าต้องไปวิหารถกสัจธรรม หอเก็บคัมภีร์ ลานสำแดงกระบี่ ศึกษาเรียนรู้ให้มาก ไม่เข้าใจก็ถาม ฝึกใช้เวทศัสตราเหล่านั้นให้ชำนาญ”
หานซานตั้งสำนักขึ้นโดยอาศัยมรรคากระบี่ แต่นางกลับไม่พูดถึงเรื่องฝึกกระบี่เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็เพราะวันเวลาเหลืออีกไม่มาก ไม่มีทางฝึกกระบี่ได้ทัน
เจี้ยนเวยเจินเหรินเจ้าสำนักกล่าว “เอาล่ะ เสวี่ยหลี่ วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ลุกขึ้นแสดงคารวะพร้อมกล่าวขอบคุณประมุขยอดเขาทุกคน
หลังเขาจากไป โถงข้างกลับยังคงสว่างไสว
ประมุขยอดเขาจ้งปี้บอกกับประมุขยอดเขาจื่อเยียน “ศิษย์น้อง ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าชิงชังเขาที่สุด”
ประมุขยอดเขาจื่อเยียนยิ้ม “ข้าไม่เห็นเขาขวางหูขวางตามิได้หรือไร วันนี้แต่ละสำนักล้วนวางท่าเหิมเกริม โชคดีที่ได้เมิ่งเสวี่ยหลี่ทำป่วนกลางศาลบรรพชน จนคนพวกนั้นรักษาหน้าแทบไม่อยู่รีบร้อนลงเขาไป…ก่อนนี้เพราะรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับจี้เซียวจึงเข้าใจเขาผิด พวกเขาสองคนชอบกันด้วยใจจริง แล้วมีอันใดคู่ควรไม่คู่ควร หากข้ามีคู่ร่วมบำเพ็ญที่ยอมสละชีวิตเพื่อข้าหลังข้าลาลับโลกนี้ไป ข้า…”
“ศิษย์น้องระวังคำด้วย!” ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียตัดบทนาง
ผู้บำเพ็ญพรตในแดนมนุษย์ล้วนเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกหล้ามีสำนึกรู้สึก แสลงต่อการพูดถึงตนเองในแง่ร้าย น้อยนักที่จะมีคนเหมือนอย่างเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่อ้าปากพูด ‘ข้าตามเขาไปอีกคนแล้วจะเป็นอย่างไร’