everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 7 #นิยายวาย
บทที่ 7 เด็กหนุ่มอ่อนแอกระเสาะกระแสะ
นอกเขตหานซาน พายุหิมะสงบนิ่ง ห่างไปทางทิศใต้สามพันหลี่ อากาศเริ่มเปลี่ยนเป็นอบอุ่น
เมฆาเทือกเขาดูไม่ต่างอันใดกับปราการตามธรรมชาติ แบ่งผืนปฐพีออกเป็นเหนือใต้
ยามสายัณห์ วิหคอ่อนล้าคืนรัง หมู่บ้านเล็กๆ แถบเชิงเขาควันครัวม้วนตัวลอยอ้อยอิ่ง
ร้านอาหารในหมู่บ้านปกตินับว่าคึกคักมิใช่น้อย มักมีนายพรานเดินทางขึ้นเขา ขบวนพ่อค้าวาณิชเหนือใต้เดินทางผ่านอยู่เป็นประจำ
ทว่ายามนี้ภายในร้านกลับเงียบเหงาซบเซา จะมีก็แต่แขกนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งในมุมร้านเท่านั้น พวกเขามีอยู่ด้วยกันสี่คน ชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวสามคนกับเด็กหนุ่มภายใต้อาภรณ์สามัญธรรมดาคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มใบหน้าซีดขาว กระแอมกระไอออกมาเป็นระยะ
บรรดาชายหนุ่มอาภรณ์สะอาดสะอ้านพวกนั้นต่างเหน็บกระบี่พกไว้บนเอว ท่าทางเข้มงวดกวดขัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรต
ชายแดนเหนือใต้เป็นเขตสามไม่ข้องแวะ คนทั่วไปยามอยู่นอกบ้านต่างพยายามหลีกเลี่ยงปลีกตัวออกห่างไม่ข้องแวะกับเหล่าผู้บำเพ็ญพรต
ชายหนุ่มทั้งสามนั่งตัวตรง ไม่ดื่มชาไม่แตะต้องสุรา ทำเพียงรอเด็กหนุ่มคนนั้นกินอาหารดื่มน้ำแกง เห็นได้ชัดว่ามีความอดทนเป็นเลิศ
จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็พลันขมวดคิ้ว ราวกับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง สีหน้ากลับกลายเป็นบึ้งตึงไม่พอใจ “ศิษย์พี่จาง คนพวกนั้นยังคงตามพวกเรามาไม่เลิก!”
“ดี!” ชายใบหน้ากลมที่นั่งอยู่ตรงข้ามพูดเย้ยหยันอย่างโมโห “จะยิ่งดีกว่านี้ถ้าพวกเขากล้าตามพวกเรากลับหานซาน!”
หลายวันมานี้พวกเขาสามคนพาเด็กหนุ่มรีบเร่งเดินทาง จากทางน้ำเปลี่ยนเป็นทางเขา จากใช้เวทศัสตราเหินเวหามาเป็นเดินเท้า ทว่าไม่ว่าจะเปลี่ยนไปใช้วิธีใด พวกเขาก็พบว่ามีปราณสองสามสายคอยตามอยู่ด้านหลังไม่ห่าง
ผู้บำเพ็ญพรตที่ถูกเรียกขานว่าศิษย์พี่จางท่วงท่าอ่อนโยนนุ่มนวล เขาปรามอีกฝ่าย “คืนนี้ข้ามเขานี้ไปก็จะเข้าสู่ดินแดนตอนเหนือแล้ว พวกเขาไม่มีทางตามพวกเราไปอีก”
ขณะที่ผู้บำเพ็ญพรตหน้ากลมกำลังจะพูดขึ้น เขาก็เห็นเด็กหนุ่มที่กำลังดื่มน้ำแกงเงยหน้าขึ้นถาม “ผู้ใด”
ผู้บำเพ็ญพรตทั้งสามมองหน้ากันคราหนึ่ง นับแต่เดินทางตามพวกเขามา เด็กหนุ่มก็แทบไม่พูดไม่จา ไม่เข้าใจเรื่องราวของโลกผู้บำเพ็ญพรตที่พวกเขาเล่า และไม่เคยเห็นเขามีท่าทีตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นสิ่งใด นี่นับเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามคำถาม
ศิษย์พี่จางตอบ “คนของสำนักหมิงเยวี่ยหู”
“ในเมื่อเจ้าตกลงรับปากเข้าร่วมสำนักกระบี่หานซาน ยามนี้ย่อมเท่ากับว่าเจ้าคือศิษย์น้องของพวกเรา เช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ครั้งนี้พวกเราเดินทางมาก็เพื่อเจ้า” ศิษย์พี่จางตัดสินใจพูดมากขึ้นสองสามประโยค อย่างน้อยก็ให้เด็กหนุ่มได้เตรียมตัวเตรียมใจ “เจ้าเป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด เช่นเดียวกับอริยกระบี่จี้เซียว ร้อยพันปียากพบพาน หมิงเยวี่ยหูเป็นสำนักกระบี่ พวกเขาเองก็อยากรับเจ้าเข้าสำนักเช่นกัน”
สาเหตุเพราะการประลองฮั่นไห่ สำนักต่างๆ ในแดนมนุษย์จึงหันมาให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะสานุศิษย์รุ่นเยาว์จนเกิดเป็นการแย่งชิงศิษย์เข้าสำนัก
ด้วยกิตติศัพท์ของหานซาน ยามวสันต์ของทุกปี ครั้นเปิดเขารับสานุศิษย์ก็จะมีผู้คนนับหมื่นขึ้นเขามาขอทดสอบสัณฐานกระดูก เรียกได้ว่าบนวิถีเซียนกว้างไกล หมื่นหลี่คัดเพียงหนึ่ง
นอกจากนี้ครอบครัวผู้บำเพ็ญพรตทางตอนเหนือที่พึ่งพาหานซานก็ยังคัดเลือกทายาทรุ่นหลังที่ดีที่สุดขึ้นเขามาด้วยเช่นกัน ยามผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาและเหล่าสานุศิษย์สายตรงลงเขาออกจาริกไปยังดินแดนต่างๆ หากพบพานเด็กน้อยหรือเด็กหนุ่มที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศ พวกเขาก็จะพาตัวคนคนนั้นกลับหานซาน
หกสำนักใหญ่ต่างมีอำนาจเหนือดินแดนกันคนละแห่ง ทุกคนล้วนทำการเฉกเดียวกัน
หมิงเยวี่ยหูกับหานซานหนึ่งใต้หนึ่งเหนือคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ เพราะสองสำนักล้วนอาศัยกระบี่สร้างมรรคา เกณฑ์ในการคัดเลือกผู้มีความสามารถย่อมใกล้เคียงกัน ด้วยเหตุนี้นี่จึงมิใช่ความขัดแย้งครั้งแรกในการแย่งชิงตัวสานุศิษย์บริเวณชายแดนเหนือใต้
ผู้บำเพ็ญพรตใบหน้าอ้วนกลมบอกกับเด็กหนุ่ม “ผู้บำเพ็ญพรตเช่นพวกเรารับสานุศิษย์เน้นความสมัครใจ หากเจ้าไม่ยินดี พวกเขาย่อมไม่อาจทำอันใดได้ ทว่าสำนักหมิงเยวี่ยหูเจ้าเล่ห์เพทุบาย วาจาลวงล่อ เจ้าอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกพวกเขาหลอกได้เด็ดขาด!”
เด็กหนุ่มพยักหน้า ในใจกลับแอบคิด ใต้มีหมิงเยวี่ยหู เหนือมีหานซาน ทั้งหมดล้วนดำรงตนอยู่บนมรรคากระบี่ ทว่ากลับขัดแย้งเนิ่นนาน คิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ลัทธิดั้งเดิม แต่จากน้ำเสียงเคียดแค้นของพวกเขาสามคน ดูไม่คล้ายขัดแย้งกันทางด้านแนวคิด ตรงกันข้ามกลับเหมือนขัดแย้งกันทางอารมณ์มากกว่า
สานุศิษย์วัยหนุ่มของทั้งสองสำนักผูกพยาบาทกันตั้งแต่เมื่อใด
ด้วยเพราะไม่เข้าใจ เขาจึงเอ่ยปากถามเพิ่มสองสามประโยค
ผู้บำเพ็ญพรตสองคนตบโต๊ะโมโห ผู้บำเพ็ญพรตแซ่จางที่สุขุมที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญพรตทั้งสามอธิบาย “พวกเขาจะโมโหก็ไม่แปลก เมื่อสองปีก่อนตอนพวกเราลงเขาออกจาริกผ่านตำบลซีเหลียง บังเอิญได้พบกับเด็กน้อยผู้มีสัณฐานกระดูกไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ถึงจะด้อยกว่าเจ้าอยู่เล็กน้อยแต่ก็นับเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ที่หาตัวจับได้ยาก พอเด็กคนนั้นรู้ว่าตนมีวาสนาเซียนก็ขอตามพวกเรากลับหานซานทันที ทั้งๆ ที่ทุกอย่างดำเนินการพร้อมสรรพ…”
ผู้บำเพ็ญพรตใบหน้าอ้วนกลมพูดแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้พวกสำนักหมิงเยวี่ยหูโผล่มาจากที่ใด ใช้วาจาโป้ปดลวงหลอกเด็กนั่นไป! เจ้าอย่าเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่เพราะพวกเราเทียบกับหมิงเยวี่ยหูไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะพวกเขาใช้แผนชั่วช้าต่ำทราม!”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ “แผนชั่วช้าต่ำทรามอันใด”
“ศิษย์พี่ใหญ่ของหมิงเยวี่ยหูนามจิงตี๋ อาศัยที่ตนเองเป็นบุรุษที่มีรูปโฉมเยี่ยงสตรี แต่งกายปลอมตัวเป็นหญิง สุดท้ายเด็กน้อยน่าสงสารที่ไม่รู้ประสีประสานั่นก็ตาม ‘ศิษย์พี่หญิงโฉมสะคราญอบอุ่นอ่อนโยน’ ไป วันหน้าเขาต้องนึกเสียใจแน่! เป็นผู้ฝึกกระบี่แท้ๆ กลับใช้วิธีการหน้าไม่อายเช่นนี้…” เขานึกอยากบริภาษอีกฝ่ายออกมาสักหลายๆ ประโยค แต่เพราะนึกสรรหาคำไม่ออกจึงได้แต่กล่าวซ้ำ “หน้าไม่อายยิ่งนัก!”
“ถูกแล้ว หน้าไม่อาย! ตอนนั้นอันที่จริงข้าสามารถเปิดโปงเขาได้!” ผู้บำเพ็ญพรตอีกคนพูดอย่างชิงชัง “ทว่าเพราะเขาปลอมตัวได้เก่งเกินไป ข้า…ข้าเองก็แยกแยะไม่ออก…”
ผู้บำเพ็ญพรตใบหน้าอ้วนกลมเอ่ยปากอย่างเคียดแค้น “เอาเป็นว่าหลังเจ้าฝึกฝนสำเร็จต้องจำไว้ให้ดี โลกนี้นอกจากมารอสูรแล้ว ที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือสำนักหมิงเยวี่ยหู คนพวกนั้นไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว ไม่ว่าอันใดล้วนทำได้ทั้งสิ้น”
“แค่กๆๆๆ”
ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็หายใจติดขัด เขากระแอมเบาๆ ออกมาติดๆ
เขาคิด เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นการใส่ร้ายสำนักหมิงเยวี่ยหูแล้ว ด้วยนิสัยทึ่มทื่อของอวิ๋นซวีจื่อ เขาไหนเลยจะทำเรื่องเหลวไหลอย่างสั่งให้ศิษย์ปลอมตัวเป็นสตรีได้ เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ศิษย์พวกนั้นทำกันเองแน่