ในตอนนั้นเองพวกเขาสามคนก็พลันมีสีหน้าเย็นชาพรวดพราดลุกขึ้นยืน
ชายหกเจ็ดคนเดินเข้ามาในร้านอาหาร บนตัวคืออาภรณ์สีคราม มีกระบี่สะพายอยู่บนแผ่นหลัง
“พวกเจ้าตามพวกเรามาตลอดทาง คิดจะทำอะไรกันแน่!”
ชายที่เป็นหัวหน้าไม่ต่างอันใดกับจันทรากลางหมู่ดาว เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ ออกมา พูดน้ำเสียงกระจ่างชัด “หรือว่าถนนเส้นนี้หานซานของพวกท่านเป็นผู้สร้างไว้ถึงได้มีแต่พวกท่านที่เดินได้ ทว่าข้าเดินไม่ได้!”
ศิษย์สำนักหมิงเยวี่ยหูที่ยืนอยู่ทางด้านหลังต่างพากันหัวเราะ
“จิงตี๋! อย่าให้เกินไปนัก!” ผู้บำเพ็ญพรตใบหน้าอ้วนกลมมือกุมด้ามกระบี่
อีกฝ่ายกลับแสดงคารวะด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม “ที่แท้ก็สหายหลี่เหวย สหายเหอหมิง สหายจางซู่หยวนนี่เอง ไม่ได้พบกันนาน นับแต่จากกันครานั้นพวกท่านคงสบายดีกระมัง”
โบราณว่าไว้ มิเงื้อง่าทำร้ายผู้สำนึก หลี่เหวยกระฟัดกระเฟียดปล่อยมือออกจากด้ามกระบี่
จางซู่หยวนแสดงคารวะตอบด้วยมารยาทเช่นกัน “สหายจิงตี๋ ไม่พบเจอกันนาน”
ศิษย์สำนักหมิงเยวี่ยหูยกเก้าอี้มาให้ จิงตี๋สะบัดอาภรณ์นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเอ่ยปากพูดตรงไปตรงมา “ยินดีกับสำนักหานซานด้วยที่ได้พบผู้มีคุณสมบัติล้ำเลิศ”
จางซู่หยวนตอบกลับน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ทราบว่าสหายจิงตี๋มีอันใดชี้แนะ”
“ทุกคนไม่ต้องเคร่งเครียดเช่นนั้น นั่งลงเถอะนั่งลง” จิงตี๋ยิ้ม “ว่ากันว่าร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดร้อยพันปียากพบพาน ข้าด้วยเพราะกระหายใคร่รู้จึงอยากมาดูให้เห็นกับตาสักครั้งว่าแท้แล้วอัศจรรย์เช่นไร ไม่ทราบว่าน้องชายผู้นั้นอยู่ที่ใด ยินดีปรากฏตัวให้ข้าได้เห็นเป็นบุญตาหรือไม่”
คำพูดประโยคนี้เห็นได้ชัดว่ารู้แล้วแต่ยังแกล้งถาม
ที่แท้ที่พวกเขาทั้งสามทำทีลุกขึ้นเหมือนโกรธขึ้ง ก็เพื่อต้องการบังเด็กหนุ่มไว้ด้านหลังไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็น
เหอหมิงพูดอย่างโมโห “ใครเป็นน้องชายเจ้า เขาเป็นศิษย์หานซานต่างหาก”
จิงตี๋ไม่ยอมแพ้ เขาถือดีว่าตนเองมีสัณฐานกระดูกเลิศล้ำยากพบพาน หากแม้นมีเวลามากกว่านี้อีกสักหน่อยย่อมเทียบชั้นจี้เซียวได้แน่ ทว่ายามนี้อริยกระบี่ลาลับ เขาจึงอยากดูซิว่าเด็กผู้โชคดีรายนี้มีอันใดเหนือกว่าตนเอง
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันไม่มีใครยอมใคร จู่ๆ เสียงกระแอมกระไอหนักหน่วงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของผู้บำเพ็ญพรตหานซานทั้งสาม พวกเขารีบหันกลับไปดู
จิงตี๋รู้สึกประหลาดใจ เขาแอบคิด หรือว่าร่างสถิตของวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดที่เล่าลือจะเป็นเพียงเด็กขี้โรคคนหนึ่ง
ที่เขามองเห็นคือเด็กหนุ่มรูปร่างผ่ายผอมใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ผิวพรรณซีดเผือด และเพราะหายใจติดขัดสองแก้มจึงแดงก่ำเยี่ยงคนป่วยกระเสาะกระแสะ
ทว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับสงบนิ่งราวกับคนที่กำลังเจ็บป่วยมิใช่ตนเอง
เห็นอีกฝ่ายโรคร้ายเกาะกุมเช่นนั้น จิงตี๋ก็ได้แต่แอบส่ายหน้า ร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดที่แท้ก็เท่านี้
ผู้บำเพ็ญพรตหานซานช่วยตบหลังให้เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มกระซิบกล่าวขอบคุณ จู่ๆ เขาก็ช้อนตาขึ้นมอง
จิงตี๋ตกตะลึง
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มสีหม่น ริมฝีปากบาง สันจมูกโด่ง เพราะผ่ายผอมรูปหน้าจึงดูคมกริบเป็นที่สุด
สายตาคู่นั้นมิได้เฉียบคมน่าเกรงขามหรือแม้แต่อ่อนโยนสงบนิ่ง แต่กลับคล้ายเต็มไปด้วยพลังอำนาจแปลกประหลาดสะท้านสะเทือนสยบใจคน ทำเอาในหัวเขาจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นว่างเปล่า
กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง เด็กหนุ่มก็หลุบตาลงก่อนแล้ว
ด้วยกลัวศิษย์ผู้น้องในอนาคตจะไอจนปอดกระเด็นออกจากปาก หลี่เหวยจึงพูดปลอบ “ไม่เป็นไร ไว้เจ้าขึ้นเขาหานซานก่อน ถึงตอนนั้นพวกผู้อาวุโสย่อมต้องช่วยกันปรุงโอสถวิเศษรักษาอาการป่วยของเจ้า”
จิงตี๋ยิ้ม “น้องชายผู้นี้ เจ้าควรรู้ไว้ หิมะน้ำแข็งบนหานซานไม่มีวันละลายตลอดปี อาการของเจ้าไหนเลยจะทนรับสภาพอากาศเหน็บหนาวเช่นนั้นไหว สำนักหมิงเยวี่ยหูของพวกเราสี่ฤดูอุ่นชื้นเฉกวสันต์ ที่นั่นต่างหากถึงจะเหมาะให้ศิษย์น้องไปรักษาตัว…”
เหอหมิงตัดบทอีกฝ่าย “มีอันใดวิเศษวิโสกัน ยอดเขาฉางชุนของพวกเราก็สี่ฤดูเฉกวสันต์เช่นกัน!”
ครั้นคำพูดหลุดจากปาก เหอหมิงก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนพลาดไปเสียแล้ว เขาแสดงท่าทีโกรธขึ้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด
จิงตี๋ไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือ
“ยอดเขาฉางชุน? หลังอริยกระบี่จี้เซียวลาลับ ยอดเขาฉางชุนก็เหลือแต่คู่ร่วมบำเพ็ญของเขา เช่นนี้แล้วจะดำรงอยู่ได้อีกนานเท่าใดกัน ศิษย์พี่ขอแนะนำให้เจ้ามองการณ์ไกลสักหน่อย ลองเลือกผู้มีความสามารถอื่นแทน”
ครั้นสิ้นเสียง เด็กหนุ่มคนดังกล่าวก็หันไปทางผู้บำเพ็ญพรตแห่งหานซานทั้งสามแล้วขมวดคิ้วถาม “ยามนี้คู่ร่วมบำเพ็ญของเขาเป็นเช่นไร”
จางซู่หยวนคิดว่าเขานับถือจี้เซียวเจินเหรินถึงได้ใส่ใจเรื่องราวของยอดเขาฉางชุนเป็นพิเศษ อดถอนหายใจออกมาคราหนึ่งมิได้
“อาวุโสเมิ่งอายุยังน้อยหุนหันประกาศจะเข้าร่วมงานประลองแดนสนธยาฮั่นไห่ที่จะจัดขึ้นในปีหน้ากลางงานพิธีเซ่นไหว้เจินเหริน ยามนี้ผู้บำเพ็ญพรตทั่วหล้าต่างรับรู้เรื่องนี้…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…