เห็นเด็กหนุ่มจดจำบทกวีเขาหานซานได้แม่นยำราวกับนับสมบัติในบ้านตน ท่องกลับไปกลับมาได้คล่องแคล่วราวกับสายน้ำเช่นนั้น จิงตี๋ก็มั่นใจได้ทันทีว่าคงไม่มีทางชักจูงอีกฝ่ายให้เปลี่ยนใจได้ เซ้าซี้ไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะเสียหน้าเปล่าๆ แม้ในใจจะนึกเสียดายแต่ใบหน้ากลับยิ้มกล่าว
“ยามนี้ไม่เช้าแล้ว ข้ามิควรรบกวนสหายทั้งสามเดินทางอีก พวกข้าขอตัว”
ผู้บำเพ็ญพรตทั้งสามของหานซานปรารถนาจะเห็นศิษย์สำนักหมิงเยวี่ยหูหายลับไปใจจะขาด ด้วยเพราะกลัวว่าหากพวกเขายังอยู่ต่ออีกเพียงครู่ ดีไม่ดีพวกเขาอาจแปลงกายเป็น ‘ศิษย์พี่หญิงโฉมสะคราญอบอุ่นอ่อนโยน’ ล่อลวงเด็กหนุ่มไร้เดียงสาไปอีก
การรับสานุศิษย์ครานี้นับว่าน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก พวกเขาต่างมีรอยยิ้มสุกใส
“สหายจิงตี๋เดินทางปลอดภัย พวกข้าไม่ส่งแล้ว แม้นมีวาสนา พวกเราค่อยพบพานกันอีก!”
จิงตี๋กลับมิโกรธ ครั้นนำพาศิษย์คนอื่นๆ เดินไปถึงหน้าประตูเขาก็หันกลับมายิ้ม “ไม่จำเป็นต้องรอวาสนา ที่แดนสนธยาฮั่นไห่พวกเราย่อมต้องได้พบกันอีก ยามวสันต์ปีหน้าพวกเราค่อยมาดูกันว่าอุษาไร้เขตขัณฑ์จะตกเป็นของผู้ใด…”
ครั้นพูดจบ เงาคนก็หายลับไปไกล
หลี่เหวยและเหอหมิงฟาดฝ่ามือลงกับโต๊ะด้วยความโมโห
จางซู่หยวนกลับไม่ถือสา เขาหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่ม “สองสามวันมานี้พวกเรารีบเร่งเดินทาง ลำบากเจ้าไม่น้อย หากเหน็ดเหนื่อยเจ้าก็อย่าได้ฝืน พวกเราหยุดพักกันสักคืนก่อนก็ได้”
จี้เซียวส่ายหน้า “ไม่ลำบาก พวกเรารีบกลับเขากันเถอะ”
พวกเขาสามคนตกตะลึงแอบคิดในใจ เด็กหนุ่มผู้นี้ร่างกายอ่อนแอ รอนแรมเดินทางนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่กับพวกเขามาตลอด แต่กลับไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นบวกกับนิสัยจิตใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น วันหน้าย่อมพัฒนาตนได้อย่างไร้ขอบเขตแน่
โชคดีที่สำนักหมิงเยวี่ยหูได้แต่กลับไปมือเปล่า ขอบคุณดวงวิญญาณของจี้เซียวเจินเหรินในปรภพที่คอยปกป้อง!
จี้เซียวไม่รู้ว่ามีคนกำลังขอบคุณตัวเองอยู่ ยามได้ยินคนข้างๆ พูดถึงกระบี่วิเศษที่เขาใช้ แดนสนธยาที่เขาเป็นคนเปิด คู่ร่วมบำเพ็ญบนยอดเขาของเขา เขาก็ให้รู้สึกเหมือนตนเองกำลังฟังเรื่องเล่าอยู่
ไม่ว่าฝันอะไรแม้นตื่นลืมตาทุกอย่างล้วนกลับกลายเป็นว่างเปล่า ไม่ต่างอันใดกับเมฆหมอกผ่านตา เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของเขากลับเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขาฝังอุษาไร้เขตขัณฑ์ไว้บนยอดเขาฉางชุนเพื่อสะกดมิให้เมิ่งเสวี่ยหลี่ออกจากที่นั่น ขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครทำร้ายอีกฝ่ายได้แม้เพียงเส้นผม
แล้วเหตุใดที่ศาลบรรพชนถึงมีการแต่งเรื่อง ‘ปณิธานก่อนวายชนม์’ ให้อีกฝ่ายต้องไปแดนสนธยาฮั่นไห่ด้วย…
หรือมีคนบีบบังคับรังแกเขา
ภาพต่างๆ นานาปรากฏขึ้นในหัวของจี้เซียว ประเดี๋ยวก็ภาพเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ปราศจากค่ายเวท ‘ฉางชุนนิรันดร์’ คุ้มครอง นั่งตัวสั่นงันงกขดตัวเป็นก้อนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ประเดี๋ยวก็เห็นภาพเมิ่งเสวี่ยหลี่ถูกขับออกจากหานซาน ร้อยปีหลังจากนั้นบำเพ็ญเพียรบรรลุ ออกสังหารผู้คนในแดนมนุษย์ด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
ความรู้สึกที่เขามีต่อเมิ่งเสวี่ยหลี่ค่อนข้างซับซ้อนสับสน ทั้งกลัวคนอื่นจะรังแกคู่ร่วมบำเพ็ญของตน ทั้งเกรงว่าคู่ร่วมบำเพ็ญของตนจะไปรังแกผู้อื่น
ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ อาจเห็นการร่วมบำเพ็ญเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าท่ามกลางชีวิตบำเพ็ญเพียรยาวนานของจี้เซียว เมิ่งเสวี่ยหลี่ยึดพื้นที่ในใจเขาไปเพียงหนึ่งในพันส่วนเท่านั้น
บังเอิญพบพานอสูรร้ายใกล้ตาย ในใจนึกเวทนาสงสารจึงยื่นมือช่วยเหลือ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หนึ่งในพันมีหรือจะไม่พอ
บนโลกยังมีเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านี้อีกมากนัก จวบจนกายธรรมถูกทำลายหมดสิ้น เขาถึงยอมรับว่าตนทำเพื่อสำนักอย่างสุดความสามารถแล้ว ก้มหน้าเงยหน้ามิมีอันใดให้ต้องละอาย
ทว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่เล่า
ก่อนหน้าเขาสาบานว่าจะปกป้องคุ้มครองอีกฝ่ายให้ปลอดภัยไปชั่วนิรันดร์ กินอยู่อันใดไม่ต้องวิตกกังวล
แต่สุดท้ายกลับมิอาจปฏิบัติตามคำมั่น แน่นอนว่าเขาย่อมนึกละอายแก่ใจ
ดังนั้นหนึ่งในพันส่วนนั้นจึงกลายเป็นจำนวนที่แปรเปลี่ยนได้
จี้เซียวเดินอยู่ใต้อาทิตย์อัสดงอย่างเงียบเหงา นึกถึงวันแรกที่พบเจอเมิ่งเสวี่ยหลี่
โปรดติดตามตอนต่อไป…