everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 9 #นิยายวาย
บทที่ 9 สวรรค์มิปรารถนาชีวิตข้า
ยามนั้นร้างแสงสายัณห์พร่างพราย ไร้จันทร์สุกสกาวเหนือยอดเขาฉางชุน
ทุ่งร้างพันหลี่ หญ้าเฉาเลื้อยลามเชื่อมขอบฟ้า ละอองหิมะบางเบาปลิวว่อน ทะลุผ่านม่านเมฆหนาหนัก ปกคลุมทั่วพื้นพสุธากว้างไกล
บริเวณรอยต่อระหว่างแดนมนุษย์ อสูร และมารถูกเรียกขานว่าแดนนอกพิภพ ดินฟ้าอากาศสุดขั้ว ฟ้าแลบแปลบปลาบฟ้าร้องครืนครั่น หิมะลมฝนโถมกระหน่ำหมุนเปลี่ยนเวียนผันไม่รู้สิ้นเป็นแค่เรื่องธรรมดา
ณ ดินแดนร้างไร้กฎเกณฑ์ เหล่าคนชั่วต่างดำรงอยู่บนวิถีแห่งตน ไม่ว่าจะพวกเดนตายฆ่าคนชิงทรัพย์ พวกนอกรีตที่ไม่เป็นที่ยอมรับจากโลกใด…คน อสูร และมารพวกนี้ล้วนเชี่ยวชาญการหลบเร้นระแวดระวัง ใช้การหลบซ่อนพาตนออกห่างจากวิกฤตความเป็นความตายที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน
ยังมีอีกจำพวกหนึ่งคือพวกที่เป็นเหมือนจี้เซียว ทำอันใดเปิดเผยตรงไปตรงมา แม้แต่พายุหิมะโถมถาก็ยังต้องยอมสยบให้
ที่ตัดขาดแดนนอกพิภพออกจากโลกทั้งสามคือกำบังมหาวายุ นับแต่แผ่นฟ้าผืนปฐพีถูกแบ่ง สรรพชีวิตถือกำเนิด กำบังมหาวายุก็อยู่ที่นั่นแล้ว ทว่าผู้แข็งแกร่งของชนเผ่าต่างๆ ล้วนมีวิธีรับมือกับมันจึงเดินทางมายังสามภพได้ ชนเผ่ามารใช้เวทมาร มนุษย์โคจรพลังปราณ ส่วนชนเผ่าอสูรอาศัยขนหนังร่างเนื้อแข็งแกร่ง
ร้อยปีก่อนชนเผ่ามารบุกแดนมนุษย์ครั้งใหญ่ ท้ายที่สุดเหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็ตระหนักได้ว่ากำบังตามธรรมชาตินี้มิอาจพึ่งพา หลังสงครามการต่อสู้สิ้นสุด ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนมนุษย์ก็ได้รวมกำลังกันสร้างค่ายเวทคุ้มกันขึ้นเป็นกำบังชั้นที่สอง
ทว่าแดนนอกพิภพเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ไอทิพย์เสื่อมทราม ดังนั้นเรื่องยุ่งยากเปลืองแรงอย่างค่ายเวทป้องกันนี้คนส่วนใหญ่จึงทำไม่ได้ หรือไม่ก็มิอยากทำ
ด้วยเหตุนี้ทุกๆ สามปีอริยกระบี่จี้เซียวจึงเดินทางมานอกกำบังมหาวายุ ทิ้งจิตกระบี่ไว้สองสามสาย ข่มขวัญศัตรูภายนอก แต่หากเจอกับเผ่ามารที่แข็งแกร่ง การต่อสู้ดุเดือดย่อมเกิดขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง
ผ่านไปสามปีแล้วสามปีเล่า ครั้นนานวันเข้าทุกคนก็ให้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนเป็นเรื่องส่วนตัวของอริยกระบี่ ในเมื่อเขาคือแดนมนุษย์ไร้พ่าย เช่นนั้นงานปกป้องคุ้มครองสี่ทิศ หากไม่ใช่เขาแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก
แม้แต่จี้เซียวเองก็เคยชินแล้ว ไม่ต่างอันใดกับผู้บำเพ็ญพรตทั่วไปที่ขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ชาวบ้านร้านตลาดที่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงปากท้องไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคำว่าเสียสละสร้างคุณูปการ เป็นก็แค่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเท่านั้น…
อริยกระบี่ก็ดี สามัญชนก็ช่าง ภายใต้มรรคาสวรรค์ไม่มีอันใดแตกต่าง
จี้เซียวคลุมร่างไว้ใต้เสื้อคลุมสีดำ เด่นสะดุดตาอยู่ใต้หิมะขาวโพลน
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเห็นตัวเขา แค่สัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังปราณแข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในแดนนอกพิภพก็ต่างพากันถอยหนีร้อยจั้งแล้ว
ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป จี้เซียวเดินขึ้นหน้าเงียบๆ ทันใดนั้นเสียงกระซิบอ่อนระโหยของใครบางคนก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงลมเสียงหิมะ
‘ใต้เท้าอริยกระบี่ได้โปรดรั้งเท้าก่อน…’
จี้เซียวยังคงเดินขึ้นหน้าราวกับไม่ได้ยิน
นั่นเป็นเสียงของเด็กหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่ง
‘ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังถูกไล่ฆ่า หากอริยกระบี่ยินดีช่วยชีวิต วันหน้าข้าย่อมยินดีตอบแทน!’
จี้เซียวรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าหลังพุ่มกกมีอสูรตนหนึ่งซ่อนอยู่ เดิมเขาคิดจะไม่สนใจอีกฝ่าย แต่นึกไม่ถึงว่าอสูรอ่อนแอตนนั้นจะใจกล้าเช่นนี้
ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับชนเผ่าอสูรนั้นลุ่มลึก เปลือกนอกอาจดูน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง* แต่บางคราวกลับร่วมมือกันต่อต้านชนเผ่ามาร ทว่าคนใช้อสูรสร้างอาวุธ อสูรก็จับมนุษย์กินเป็นอาหารบำรุงร่างกายเช่นกัน
จี้เซียวเดินไปตามที่มาของเสียง เห็นเจ้าตัวน้อยเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือด นอนหมอบเนื้อตัวสั่นอยู่กับพื้นไม่ต่างอันใดกับดอกเหมยแรกบานกลางหิมะ
เขาถาม ‘เจ้ารู้จักข้า?’
‘จากจิตกระบี่ของท่าน ท่านคือจี้เซียว’
จี้เซียวค้อมกายหิ้วร่างของอสูรน้อยขึ้นมาเบาๆ พิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่ง ‘อสูรเพียงพอน จอมอสูรเขาเสวี่ยซาน?’
ผู้บำเพ็ญพรตในโลกมนุษย์จะถูกเรียกขานว่าบุพพาจารย์ ปรมาจารย์ จอมเวท อริยกระบี่ แตกต่างจากแดนอสูรที่เรียกขานอสูรร้ายว่าเป็นจอมอสูร
เมื่อหลายวันก่อนเขาได้ยินว่าจอมอสูรเขาเสวี่ยซานตนนี้กำลังควบรวมแดนอสูร ตั้งตนเป็นเจ้าแห่งอสูรทั้งปวง นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กลับได้รับบาดเจ็บเจียนตายหลบหนีมาอยู่แดนนอกพิภพ ร่างอสูรเดิมของมันมีขนาดใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ ยามนี้กลับหดเหลือแค่ก้อนเล็กๆ เนื้อหนังถลอกปอกเปิก เล็บแหลมหักหมดสิ้น หิ้ววางไว้บนมือทั้งเบาทั้งอ่อนนุ่ม
‘ข้าเอง! ขอใต้เท้าอริยกระบี่ช่วยชีวิตข้าน้อยด้วย!’
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ จี้เซียวถึงนึกอยากหัวเราะ
จอมอสูรตนนี้ทุกวันมีอสูรตัวน้อยคอยรับใช้ น่าจะเย่อหยิ่งจองหองเป็นที่สุดถึงจะถูก แม้แต่ยามนี้ก็ยังเฝ้าประคองตนไม่ยอมตายจาก น่าจะมีจิตใจที่เข้มแข็งยิ่ง
ทว่าใครจะเคยคิด มันกลับรู้จักปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ ไม่แยแสฐานะจอมอสูรของตนแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเอ่ยปากตะโกนร้องขอให้ผู้อื่นช่วยชีวิตอย่างเต็มปากเต็มคำ
อสูรเพียงพอนสองตาเปียกชื้น ‘แม้นหายดี ข้ายินดีทำพันธสัญญาสัตว์อสูรกับท่าน อยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา ช่วยท่านทำสงครามสามภพ!’
แดนมนุษย์มีเวทควบคุมสัตว์อยู่จริง จี้เซียวนึกถึงคำพูดติดปากของผู้ควบคุมสัตว์แห่งสำนักเป่ยหมิงซานได้ ‘สัตว์อสูรกับมนุษย์ล้วนยากเลี้ยง’ เขาส่ายหน้า ‘สัตว์อสูรถือตนสูงส่งเอาแต่ใจ หาได้เลี้ยงง่ายๆ ไม่’
‘ข้าไม่เหมือนกัน ข้าเลี้ยงง่าย! ได้ยินว่าหานซานของพวกท่านพายุหิมะถาโถมตลอดทั้งวันคืน ในป่าเขาเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานา เช่นนั้นย่อมเหมาะกับข้ายิ่ง ข้าชอบกินเนื้อ ไม่ว่าจะเนื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น หนำซ้ำกินอิ่มแล้วยังชอบเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นหิมะ ท่านพาข้ากลับไปเลี้ยงดูเป็นสัตว์อสูรเฝ้าสำนักเถอะ!’ อสูรเพียงพอนกะพริบตากลมโตปริบๆ ‘ผู้บำเพ็ญพรตแดนมนุษย์เช่นพวกท่านมิใช่เชื่อเรื่อง ‘วาสนาบุพเพ’ หรอกหรือ ท่านข้าเหมาะเจาะเหมาะสมกันเช่นนี้ หรือจะบอกว่ามิได้มีวาสนาต่อกัน?’
จี้เซียวพูดเนิบๆ ‘ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ญาณอสูรเจ้าดับสลาย ชีพจรเส้นเอ็นถูกพลังจากภายนอกตัดขาดหมดสิ้น ต่อให้บาดแผลภายนอกสมานได้ดังเก่า ก็ประคับประคองชีวิตได้ไม่นาน…’ ครั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็อดนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ ‘พ่อแม่ญาติพี่น้องของเจ้าอยู่ที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปพบพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย’
‘ข้าถือกำเนิดจากไอทิพย์ที่เชิงเขาเสวี่ยซานศักดิ์สิทธิ์ในแดนอสูร มีธรรมชาติเลี้ยงดู หามีพ่อแม่ไม่’ แม้จะได้ยินจี้เซียวปฏิเสธ แต่อสูรเพียงพอนก็มิยอมรามือง่ายๆ ‘ใต้เท้าอริยกระบี่ ได้โปรดคิดหาหนทางดูอีกสักครั้ง วันนี้ข้าได้พบท่าน นั่นก็เห็นชัดแล้วว่าชะตาข้ายังไม่ถึงฆาต สวรรค์มิปรารถนาชีวิตข้า!’
‘สวรรค์มิปรารถนาชีวิตเจ้า?’ จี้เซียวไม่คิดเช่นนั้น ‘ท่าทางของเจ้ายามนี้ หากพบเจอผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ เกรงว่าคงถูกควักญาณอสูร แล่เนื้อเถือกระดูกเอาไปทำเป็นเวทศัสตราหรือไม่ก็โอสถวิเศษแล้ว’
อสูรเพียงพอนสั่นเทิ้มอยู่กลางฝ่ามือเขา ‘แต่ข้ารู้สึกว่าท่านเป็นคนดี’