จี้เซียวนิ่งเงียบ
พายุหิมะโถมกระหน่ำ อสูรเพียงพอนมองดูเขาด้วยสายตาวาดหวัง แววตาทั้งสองข้างหม่นหมองลงทีละน้อย จู่ๆ จี้เซียวก็เอ่ยปาก
‘ข้ามีศิษย์พี่คนหนึ่งเชี่ยวชาญการปรุงโอสถวิเศษ เคยปรุง ‘โอสถวิเศษคืนชีพ’ สามารถรักษาวิญญาณไม่ให้ดับสลาย ส่วนข้าก็จะช่วยเจ้าสร้างร่างเนื้อ ให้เจ้าได้ถอดรกเปลี่ยนกระดูกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เช่นนี้ถึงจะยังพอมีทางรอดได้อยู่…เจ้ายินดีทิ้งร่างอสูรหรือไม่’
ไม่รู้ว่าอสูรเพียงพอนตนนี้เคยผ่านอะไรในแดนอสูรมาบ้าง มันตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
‘ได้ ขอเพียงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้ายินดีเป็นมนุษย์!’
‘คิดเป็นมนุษย์หาใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ อสูรกินอสูรได้ แต่คนไม่กินคน’ จี้เซียวสีหน้าสงบนิ่ง ‘แผ่นดินเปลี่ยนง่าย สัญชาตญาณดิบยากแก้ไข เจ้ากล้ารับปากข้าหรือไม่ว่าจะไม่สังหารผู้ใดในแดนมนุษย์’
เขาแค่ต้องการคำสัญญาประโยคเดียวเท่านั้น หาได้ต้องการบังคับให้อสูรเพียงพอนใช้วิญญาณสาบานไม่ เพราะจี้เซียวเชื่อว่าแม้นอีกฝ่ายกลับคำ ตนเองก็ยังกำราบมันได้อยู่
‘เพื่อเป็นมนุษย์ข้ายินดีกินแต่ผักหญ้า! แต่ให้ข้าไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต หากถูกผู้อื่นรังแกจะให้ข้าทำเช่นไร’
จี้เซียวพูดเนิบๆ ‘เจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าย่อมต้องคุ้มครองเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัย’
เขายื่นมือคีบโอสถวิเศษรักษาบาดแผลออกมาเม็ดหนึ่ง เพียงพอนน้อยแลบลิ้นม้วนกลืนมันลงท้องอย่างไม่ลังเล เพียงไม่นานบาดแผลภายนอกก็ค่อยๆ สมานเข้าด้วยกัน นอกจากนี้จี้เซียวยังลัดนิ้วร่ายมุทรา ทำความสะอาดให้มัน เสมือนจับมันขัดสีฉวีวรรณเสียใหม่ ขจัดสภาพน่าเวทนาเนื้อหนังถลอกปอกเปิกออกไปจนหมดสิ้น เนื้อตัวไม่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอีก
อสูรเพียงพอนมุดเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมแขนเขา ‘บุญคุณช่วยชีวิตไม่รู้จะตอบแทนเช่นไร นับแต่นี้ข้ายินดีติดตามรับใช้ใต้เท้าอริยกระบี่ไม่ห่าง!’
จี้เซียวลูบไล้ขนสีขาวสะอาดบนตัวมัน ปลายนิ้วรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนนุ่ม
ญาณอสูรกับชีพจรเส้นเอ็นแหลกสลายหมดสิ้น เหลือแค่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงเต้นแผ่ว แค่ปลายนิ้วเดียวก็บี้เจ้าตัวเล็กอ่อนแอนี้ตายได้แล้ว
‘ร่างมนุษย์มีตะเกียงชีวิตสามดวง ใช้เก็บรวบรวมพลังหยางอยู่ที่หน้าผากกับสองไหล่ หากเจ้ากลับกลายเป็นมนุษย์ พลังหยางย่อมอ่อนแอลง ร่างกายไม่อาจทนทานต่อสภาพอากาศเหน็บหนาวได้อีก ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นคนกลัวหนาว เรื่องนี้เจ้าจงไตร่ตรองดูให้ดี’
สองสิ่งที่อสูรตนนี้โปรดปรานที่สุดก่อนหน้านี้คือการได้กินเนื้อกับเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหิมะอย่างสบายใจ ทว่าภายภาคหน้ามันกลับมิอาจทำได้อีกต่อไป
อสูรเพียงพอนยังคงยืนกราน ‘ขอเพียงสามารถมีชีวิตรอด’
จี้เซียวขมวดคิ้ว ‘ที่พำนักของข้าหนาวลึกถึงกระดูก เจ้ายังจะตามข้าไปหรือ’
เขาพำนักอยู่ที่ผาเจียเทียนบนยอดเขาสูงเหนือหานซาน พายุหิมะโถมกระหน่ำ แม้แต่หยดน้ำก็ยังกลายเป็นน้ำแข็ง
อสูรเพียงพอนรีบกล่าว ‘ข้าสวมอาภรณ์หนาสักหน่อยก็ได้ จุดเตาไฟให้ข้าสักเตา’ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระซิบ ‘เตาไฟเล็กๆ สักเตาก็ได้…’
จี้เซียวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็พยักหน้า ‘ได้’
อสูรเพียงพอนดีใจ มันซุกอยู่บนซอกคอเขา เลียขากรรไกรล่างเขาคราหนึ่ง
จี้เซียวมุ่งหน้าไปยังแดนมนุษย์ มหาวายุพัดโถมเข้าใส่ เสื้อคลุมเขาโบกสะบัด
อสูรเพียงพอนหลบอยู่ในอกเสื้อจี้เซียว หลับใหลไม่รู้ตัว
จี้เซียวมุ่งหน้าไปมหรรณพแดนสรวงเพื่อขอยา
ประมุขแดนสรวงเคยเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักของเขา แม้จะเกิดที่หานซานแต่กลับเชี่ยวชาญศาสตร์ปลีกย่อยของผู้บำเพ็ญพรตแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะการปรุงโอสถวิเศษ การสร้างเวทศัสตรา ศาสตร์คำนวณสังเกตการเปลี่ยนแปลงบนฟากฟ้า มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่ฝึกฝนคือศาสตร์การใช้กระบี่
หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ คำนวณดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็เตือนจี้เซียวว่าอย่าพาตัวเข้าไปแปดเปื้อนผลกรรม
จี้เซียวไม่รับปาก ทำเพียงดื่มชาอยู่เงียบๆ
ประมุขแดนสรวงจนปัญญา ได้แต่เอ่ยปากอธิบายให้กระจ่างยิ่งขึ้น
‘อสูรตนนี้สิ้นอายุขัยแล้ว แต่เจ้ากลับพยายามฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตเพื่อมัน ไม่เคารพต่อลิขิตสวรรค์ เกรงว่าสุดท้ายกรรมของเขาภายภาคหน้าจะตกอยู่กับเจ้า’
จี้เซียวยิ้มน้อยๆ ท่าทางยโสอย่างไม่อาจปิดบัง ‘เขาพบข้า นั่นก็แปลว่าสวรรค์ไม่ปรารถนาชีวิตเขา’
สามปีต่อมา คำกล่าวของประมุขแดนสรวงก็กลายเป็นคำพยากรณ์ กายธรรมของจี้เซียวถูกทำลาย ต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่อีกครั้งไม่ต่างกับเมิ่งเสวี่ยหลี่
เรื่องนี้ให้บทเรียนกับผู้คนอยู่สองประการ หนึ่งอย่าได้สุ่มสี่สุ่มห้าช่วยชีวิตคน แม้แต่กับอสูรก็ไม่ได้ สองจงเชื่อในผู้พยากรณ์ บางครั้งคำทำนายของพวกเขาแม่นยำยิ่งนัก
น่าเสียดายจี้เซียวไม่ใช่คนธรรมดา เขาเลือกที่จะไม่ยอมรับบทเรียนดังกล่าว
ครั้นย้อนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เขากลับไม่นึกเสียใจแม้แต่น้อย
โปรดติดตามตอนต่อไป…