everY
ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 3 บทที่ 1 #นิยายวาย
ขึ้นสวรรค์เด็ดดวงดาว
เมืองเฟิงเยวี่ย
คืนค่ำยาวนาน ตำหนักใหญ่กว้างขวางเงียบสงัด
จิตรกรก้มหน้ากำลังผสมสีอยู่หน้าโต๊ะยาว แสงจากเชิงเทียนอาบไล้ใบหน้าด้านข้างของเขา แลดูอบอุ่น ขณะเดียวกันก็คล้ายทุกข์ระทม
อสูรวิหคหลวนลอบเข้ามาในตำหนัก นางนั่งลงชื่นชมภาพวาดงดงามทรงพลังบนผนังพลางคอยสนทนาพาทีอยู่ข้างเขามิได้ขาด
“ข้าทายว่าร่างอสูรเดิมของท่านคือกิ้งก่าเปลี่ยนสี”
อีกฝ่ายมิได้เงยหน้า หากยังคงตั้งอกตั้งใจผสมสี “ข้าเป็นงู”
“งูหรือ จอมอสูรเขาหลิงซานก็เป็นงูเช่นกัน ท่านเผ่าพันธุ์เดียวกันกับจอมอสูร!” วิหคหลวนตกใจ แต่กระนั้นนางก็ยังคงขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อืม ท่านเคยพบจอมอสูรหรือไม่ เขาเป็นอสูรแบบใด”
“ก็เป็นเช่นข้า”
วิหคหลวนหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่เชื่อ ท่านโกหก!”
จิตรกรหนุ่มมิได้ตอบ
“ท่านเป็นสหายคนแรกของข้าที่นี่” วิหคหลวนเจื้อยแจ้วขึ้นอีก “ในชุมนุมหมื่นอสูร ข้าต้องร้องเพลง ท่านมาได้หรือไม่ หากท่านมา ข้าต้องร้องได้ดีมากแน่ๆ”
จิตรกรหนุ่มพยักหน้า ไม่นึกสนใจอันใดนัก
วิหคหลวนเบิกบานใจ “พวกเราตกลงกันแล้วนะ!”
ในเมืองเฟิงเยวี่ยรุ่งเรืองวิจิตร มีอสูรไปมาขวักไขว่ ตอนเพิ่งเข้าเมืองมานางได้เปิดหูเปิดตา รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด ยามค่ำมักฝันเห็นตนเองใช้บทเพลงผูกสัมพันธ์ที่นางประพันธ์ขับขานไปทั่วแดนอสูร
แต่ไม่รู้เหตุใด ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางเหล่าอสูร แต่นางกลับรู้สึกเงียบเหงายิ่งกว่าตอนอยู่ท่ามกลางป่าเขา
เหล่าอสูรชั้นต่ำที่มาแสดงในงานเลี้ยงล้วนพักอยู่ในเรือนพำนักของตำหนัก พวกมันหาได้สนใจวิธีการร้องการควบคุมลมหายใจอันใดไม่ สนใจก็แต่ตนเองจะได้เป็นที่โปรดปรานของอสูรชั้นสูงหรือไม่ก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ระหว่างพวกมันจึงมักเต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น เปรียบเทียบกันว่าใครเหนือกว่าใคร ไมตรีจิตเจือจาง
วิหคหลวนแต่งบทเพลงรันทดงดงามไว้บทหนึ่ง ทว่าพ่อบ้านประจำตำหนักไม่ยอมให้นางขับขาน ตรงกันข้ามกลับต้องการให้นางร้องบทเพลงยกย่องสรรเสริญคุณูปการของจอมอสูรเขาหลิงซาน
ไม่มีอสูรตนใดเข้าใจบทเพลงของนาง ก็เหมือนกับจิตรกรผู้นี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาวาดเพียงพอนหิมะได้งดงามยิ่งยวด เส้นสายแต่ละเส้นล้วนเต็มไปด้วยใจจริง ทว่าภาพวาดบนผนังกลับไม่มีเพียงพอนหิมะ
บางทีอาจเพราะร่างเดิมของจอมอสูรเขาเสวี่ยซานเป็นเพียงพอน ดังนั้นจอมอสูรเขาหลิงซานจึงไม่ยอมให้เขาวาด ‘ทักษะวาดเพียงพอน’ ของเขาจึงเป็นได้เพียงมุกกระจ่างฝุ่นธุลีปกคลุม
พอคิดถึงตรงนี้วิหคหลวนก็รู้สึกว่าตนกับจิตรกรหนุ่มหัวอกเดียวกัน ต่างรู้ใจผู้ตกอับ นางแอบเข้ามาในตำหนักดูภาพวาด จิตรกรไม่เพียงไม่ยอมปริปากฟ้อง หากยังช่วยนางปิดบัง ช่างเป็นอสูรแสนดีอบอุ่นมีเมตตายิ่งนัก
“ข้ายังอยากดูภาพวาดเพียงพอนภาพนั้น”
จิตรกรหยิบม้วนภาพออกมา ภาพค่ำคืนดวงดาวภูเขาหิมะปรากฏขึ้นทีละน้อย
วิหคหลวนถูกภาพดังกล่าวดึงดูด นางตะลึงพูด “ที่ที่ปรารถนาจะไปให้ถึงสักครั้งในชีวิต คือราตรีซึ่งมีดวงดาวดารดาษใต้ภูเขาหิมะ…เพียงพอนตัวนี้มีชื่อหรือไม่”
หัวคิ้วของจิตรกรหนุ่มขมวดเข้าหากันน้อยๆ เขาพูดเสียงแผ่ว “เขาเป็นสหายของข้า”
“เช่นนั้นท่านพอจะเล่าเรื่องของสหายท่านให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่”
จิตรกรหนุ่มเผยสีหน้าคิดคำนึง “แต่ก่อน…ข้ามีสหายอยู่สองคน พวกเราออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน เล่นมายากลให้เด็กๆ ชาวมนุษย์ชาวอสูรดู”
วิหคหลวนประหลาดใจ “ท่านเล่นกลเป็นด้วยหรือ”
“ข้าเล่นกลไม่เป็น เป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น กลพวกนี้ก็แค่เรื่องหลอกลวง ข้าแปลงกายเป็นกำไลข้อมือ เพียงพอนกลายร่างเป็นผ้าพันคอ ให้สหายอีกคนแสดง ‘ขึ้นสวรรค์เด็ดดวงดาว’ ”
การแสดง ‘ขึ้นสวรรค์เด็ดดวงดาว’ นี้เป็นกลที่เชวี่ยเซียนหมิงคิดขึ้น เอาไว้ใช้เล่นสนุกกับพวกเด็กๆ
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีดารดาษไปด้วยดวงดาว กองไฟลุกโชน นัยน์ตาของพวกเด็กๆ ที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ เปล่งประกายวับวาว
เชวี่ยเซียนหมิงปลดผ้าพันคอสีขาวออก เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งว่า ‘เปลี่ยน’ จู่ๆ ผ้าพันคอก็พลันมีชีวิต กลายกลับเป็นเพียงพอนน้อยตัวหนึ่ง
เขาปลดกำไลข้อมือออกแล้วโยนรับกระแสลม จู่ๆ กำไลข้อมือก็คลายออก กลายเป็นงูลายตัวหนึ่ง งูลายยกลำตัวขึ้น ดูไม่ต่างอันใดกับเชือกยาว เพียงพอนน้อยปีนไต่ขึ้นไปตาม ‘เชือก’ ‘เชือก’ นั้นยืดยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหายลับไปท่ามกลางฟากฟ้ารัตติกาล
เชวี่ยเซียนหมิงกล่าว ‘ขอเสียงปรบมือหน่อย ขอเชิญผ้าพันคอของข้าเด็ดดวงดาวเพื่อทุกคน’
เพียงไม่นานศิลาศักดิ์สิทธิ์และมุกวิเศษชั้นต่ำที่ส่องประกายวับวาวก็หล่นร่วงลงมาจากฟากฟ้าราวกับดาวดวงน้อยดวงแล้วดวงเล่า พวกเด็กๆ ต่างพากันยื่นมือออกไปรับ กระโดดโลดเต้นแย่งชิงกับพรรคพวกคนอื่นๆ
ท่ามกลางเสียงร้องตื่นเต้นยินดี เพียงพอนน้อยที่ปีนขึ้นไปเด็ดดวงดาวนั้นก็ไต่ ‘เชือก’ กลับลงมาอีกครั้ง
จิตรกรกล่าวต่อว่า “พวกเราแสดงหลายต่อหลายครั้ง เพียงพอนน้อยตัวนั้นปีนไปปีนมาอยู่บนตัวข้า บ่อยครั้งที่ข้าคิดอยากพันรัดตัวเขาเอาไว้ให้แน่น นี่เป็นสัญชาตญาณของงู ทว่าข้าเล่นเป็นเชือกเส้นหนึ่ง เชือกไหนเลยจะขยับได้…”
เขาพูดไปเรื่อยๆ อย่างจริงจังจริงใจ วิหคหลวนฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม “ต่อมาเล่า ท่านรัดร่างเขาหรือไม่”
จิตรกรหนุ่มส่ายหน้า “ชีวิตอสูร…เรื่องที่อ้างว้างที่สุดมิใช่ไร้สหาย หากแต่เคยมีสหาย”
วิหคหลวนนึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาทันที “ข้ายินดีเป็นสหายใหม่ของท่าน!”
จิตรกรหนุ่มช้อนตาขึ้นมอง วิหคหลวนสบตากับอีกฝ่าย ใจเต้นระส่ำอย่างไร้สาเหตุ แผ่นหลังเย็นยะเยือกหวาดหวั่น
ทันใดนั้นจิตรกรหนุ่มก็คลี่ยิ้ม ความรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อครู่หายลับไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าควรกลับไปได้แล้ว” จิตรกรหนุ่มบอก
ครั้นวิหคหลวนได้ยินเสียงฝีเท้านอกตำหนักดังขึ้น นางก็รีบพูด “ดึกป่านนี้แล้วยังมีอสูรลาดตระเวนตำหนักอีกหรือ ข้าไปก่อนล่ะ!” พูดจบนางก็บินผ่านหน้าต่างฉลุลายออกไป อาศัยเงาชายคาปิดบังร่องรอย
“จอมอสูร มีรายงานด่วนจากเจดีย์เจิ้นเยา!” แม่ทัพอสูรเข้ามาในตำหนัก หมอบร่างลงกับพื้น
จอมอสูรเขาหลิงซานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ว่ามา”
“เจดีย์เจิ้นเยาถล่ม นักโทษอสูรสองตนหลบหนีออกไปได้ แม่ทัพเหยี่ยวดำไม่รู้อยู่ที่ใด จอมอสูรเขาเฮยซาน จอมอสูรแม่น้ำไป๋เหอกับแม่ทัพพยัคฆ์ต่อสู้ชุลมุนอยู่ที่ด้านนอกเจดีย์ ต่างบอกว่าอีกฝ่ายเป็นพวกของอสูรนักโทษ”
โดยรอบพลันเงียบงัน
แม่ทัพอสูรไม่กล้าเงยหน้า รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ข่าวร้ายเหลวไหลเช่นนี้ต้องทำจอมอสูรโมโหแน่ๆ อสูรตนอื่นไม่กล้ามารายงาน เพราะกลัวอีกฝ่ายจะพานโกรธตนเองไปด้วย หลังจากโยนกันไปโยนกันมา สุดท้ายภารกิจนี้ก็มาหล่นอยู่บนหัวตนเอง
ทว่าเขากลับได้ยินจอมอสูรตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ถ่ายทอดคำสั่ง เรียกตัวแม่ทัพพยัคฆ์กลับมารับโทษที่เมืองเฟิงเยวี่ย ปิดพื้นที่แถบเขาเฮยซานไว้ นำกำลังทหารไปตามจับนักโทษหลบหนีกับแม่ทัพเหยี่ยวดำ บอกให้อสูรพฤกษาไปป่าหงหลิน เจรจากับอสูรเฒ่าป่าหงหลินให้ช่วยค้นหาอีกแรง ไปได้”
แม่ทัพอสูรถอนหายใจ เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผาก ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกไปจากตำหนัก
จอมอสูรเขาหลิงซานพูดกับม้วนภาพ “ในที่สุดเจ้าก็มาจนได้ ยังไม่ทันได้โผล่หน้าออกมาก็ทำลายทหารทำลายแม่ทัพของข้าแล้ว ความสามารถมิได้ด้อยไปกว่ากาลก่อนเลยจริงๆ”
ติดตามบทที่ 2 ได้ในวันที่ 18 พ.ย. 63