everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 59-60 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 59
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง หลิงซูก็นั่งรถไฟเที่ยวที่เช้าที่สุดไปหางโจว
เส้นทางรถไฟจากเซี่ยงไฮ้ไปหางโจวนั้นสร้างขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์ชิง จนถึงตอนนี้ก็ยังคงใช้งานอยู่ เดินทางเที่ยวเดียวใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมง
ตอนที่หลิงซูไปถึงหางโจวนั้นใกล้เที่ยงแล้ว เขาไม่ได้รีบไปกินข้าวกลางวัน แต่ตรงไปยังร้านหนังสือแห่งหนึ่งก่อน
ร้านหนังสือร้านนั้นตั้งอยู่ริมทะเลสาบซีหู สองฝั่งของร้านเป็นบริเวณลานบ้านของที่พักข้าราชการสมัยราชวงศ์ชิง กาลเวลาผันผ่าน หลังจากราชวงศ์ชิงล่มสลายประเทศชาติก็ระส่ำระสาย ชนชั้นสูงมิอาจเป็นชนชั้นสูงได้ตลอดไป บ้านเรือนก็เปลี่ยนเจ้าของไปครั้งแล้วครั้งเล่า บ้านหนึ่งในนั้นถูกเปลี่ยนเป็นร้านหนังสือ ซึ่งก็คือร้านหนังสือหมิงเต๋อที่หลิงซูกำลังจะไปนั่นเอง
เวลาเที่ยงคนไม่มากนัก หลิงซูหิ้วม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงหน้าชั้นวางหนังสือ ก่อนจะหยิบหนังสือแถวนั้นมาเล่มหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มอ่าน
ยุคนี้คนที่จ่ายเงินซื้อหนังสือไหวมีไม่มาก จึงมีคนหนุ่มสาวมากมายนับไม่ถ้วนมาหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาที่ร้านหนังสือเหมือนกับเขา เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านก็เคยชินเสียแล้วจึงไม่ได้เดินมาไล่แขก ถ้าก่อนออกไปหลิงซูซื้อหนังสือสักเล่มสองเล่มก็นับว่ากรุณามากแล้ว
“เดี๋ยว” เยวี่ยติ้งถังยกมือขัดจังหวะ “ร้านหนังสือร้านนั้นคือที่ที่เฉินโหย่วหวาเคยปรากฏตัวแล้วก็หายไปน่ะเหรอ”
หลิงซูตอบ “ใช่ ฉันอยากจะรอดูอยู่ที่นั่นว่าจะได้เจอเฉินโหย่วหวาหรือเปล่า”
ในใบรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารสองรายชื่อที่เหอโย่วอันส่งให้เจียงเหอนั้น หนึ่งคือช่างตัดเสื้อเซียวจวิ้น อีกหนึ่งคือพนักงานหนังสือพิมพ์เฉินโหย่วหวา
คนแรกตายไปแล้ว คนที่สองหนีรอดจากการไล่ล่าไปได้และหายสาบสูญไปอย่างประหลาด
คนคนหนึ่งที่เพิ่งจะหนีตายมาได้ ปฏิกิริยาแรกควรเป็นการหนีไปให้ไกล ยิ่งไกลยิ่งดี แต่เฉินโหย่วหวากลับมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยร่องรอยที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งในหางโจว เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ปกติพออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนั้นไม่นานเหอโย่วอันก็ยังไปที่นั่นอีกด้วย
ถ้าบังเอิญมากเกินไป มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญ
หากสืบเสาะตามเบาะแสไปเรื่อยๆ แล้วพบตัวเฉินโหย่วหวา ไม่แน่ว่าอาจจะโยงไปถึงเหอโย่วอัน และเจอเรื่องน่าประหลาดใจของเธอก็ได้
ทว่าสิ่งที่เยวี่ยติ้งถังสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็น…
“นายรู้จักร้านหนังสือร้านนั้นได้ยังไง”
หลิงซูกะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ
“ฉันให้เฉิงซือหา”
“เฉิงซือเป็นตำรวจตัวเล็กๆ ของเขตเจียงวัน จะไปยุ่มย่ามถึงสถานีตำรวจหางโจวได้เชียวเหรอ”
“ฉันจำผิดน่ะ ฉันให้พี่เขยหาให้ต่างหาก”
เยวี่ยติ้งถังกอดอกมองคนที่ยังแถข้างๆ คูๆ ต่อไป
หลังจากเฉินโหย่วหวาหายตัวไป เขาก็กลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว ไม่สามารถใช้ตัวตนของเฉินโหย่วหวาเดินไปเดินมาได้อีก ดังนั้นการจะใช้อำนาจในทางสว่างอย่างถูกทำนองคลองธรรมนั้นก็คงจะไม่ได้
“เจียงเหอหาให้นาย”
หลิงซูหาวหวอด “เหมือนจะเป็นเขาจริงๆ นั่นแหละ ฉันให้หลายคนช่วยจนจำไม่ได้แล้วน่ะว่าใครหาให้!”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “นายกลัวตัวเองจะอายุยืนเกินไปก็เลยพยายามจะให้มันสั้นลงสักหน่อยหรือไง”
“เหล่าเยวี่ย เรื่องนี้นายจะโทษฉันก็ไม่ได้หรอกนะ เจียงเหอเป็นฝ่ายให้คนมาส่งข่าวเรื่องร้านหนังสือหมิงเต๋อเอง เขารู้ว่าฉันกำลังสืบเรื่องเหอโย่วอันอยู่ ฉันว่านะ เขาก็คงอยากจะรู้เหมือนกันแหละว่าตกลงแล้วในเรื่องราวเหล่านี้เหอโย่วอันมีบทบาทอะไรกันแน่ เพราะฉะนั้นเจียงเหอไม่ได้แค่ช่วยฉันหรอก เขาก็ช่วยตัวเขาเองด้วยน่ะ”
“ลู่ถงชางอยากจะฆ่าเขา ก็ต้องคอยสังเกตดูคนที่ไปมาหาสู่รอบตัวเขาทุกคนอยู่แล้ว พอนายไปช่วยชีวิตเขา ตอนนี้ก็คงเข้าไปอยู่ในสายตาของลู่ถงชางเรียบร้อย ถ้ายังจะคลุกคลีอยู่กับเขาต่อก็มีแต่จะทำให้ลู่ถงชางอยากจะจัดการนายไปด้วยนั่นแหละ”
หลิงซูยิ้มเผล่ “วางใจเถอะน่า ฉันไม่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนแล้วล่ะ ฉันจะคลุกคลีอยู่กับนายเท่านั้น แบบนี้พอใจหรือยัง”
พ่อบ้านชรายกจานผลไม้ออกมา เขาเห็นท่าทีตึงเปรี๊ยะเหมือนจะระเบิดของเยวี่ยติ้งถังเข้าพอดี จึงอดเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ได้
“มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน อย่าทำให้เด็กตกใจสิครับ”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
ลุงโจวคงจะลืมไปแล้วกระมังว่าคนคนนี้เป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันกับเขาน่ะ
หลิงซูรับจานผลไม้มาด้วยสองมือ
“ขอบคุณครับลุงโจว!”
พ่อบ้านเอ่ยว่า “คุณยังมีไข้อยู่หน่อยๆ รับประทานมากไม่ได้นะครับ ก่อนนอนผมจะเอาน้ำชาที่เป็นยามาให้จง* หนึ่ง ต้องดื่มให้หมดถึงจะนอนได้นะครับ”
หลิงซูรับคำอย่างว่าง่าย
เยวี่ยติ้งถังรู้สึกหมดแรงอย่างที่สุด เขาแอบถอนหายใจยาว
ถ้าลุงโจวเห็นคนคนนี้ยิงปืนฆ่าคนอย่างเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
พ่อบ้านผู้เข้ามาเป็นนักแสดงรับเชิญในฉากนี้ลาจากไปอย่างรวดเร็ว เยวี่ยติ้งถังก็ไม่ได้มีแก่ใจจะถามอีก
“นายพูดต่อเถอะ”
หลิงซูร้องอ้อ “เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ”
“…นายรอเฉินโหย่วหวาอยู่ที่ร้านหนังสือนั้น”
หลิงซูตบเข่าฉาด
“ใช่! ร้านหนังสือนั้นชื่อร้านหนังสือหมิงเต๋อ มีกลิ่นอายโบร่ำโบราณ ตกแต่งได้ไม่เลวทีเดียว ฉันอ่านหนังสืออยู่ที่นั่นตั้งนาน ในใจก็คิดว่าคงโดนเจ้าของร้านรังเกียจแล้วแน่ๆ เลยหยิบหนังสืออะไรสักเล่มที่มันราคาถูกหน่อยไปจ่ายเงิน เจ้าของร้านดีใจเอามากๆ เอาชามาให้ฉันดื่มกาหนึ่งเลยด้วยซ้ำ จริงสิ ค่าหนังสือเล่มนั้นลงบัญชีค่าใช้จ่ายในการทำงานใช่ไหม ก็ได้ๆ รู้แล้ว ฉันจ่ายเองก็ได้ อย่ามองฉันแบบนี้สิ!
เดิมทีฉันก็คิดเอาไว้ว่าถ้าวันนี้รอแล้วไม่เจอ พรุ่งนี้จะไปจับตาดูบริเวณรอบๆ นั้นอีกที ยังไงก็น่าจะเจอเฉินโหย่วหวาเข้าสักวันนั่นแหละ แต่ไม่คิดเลยว่าจะดวงดีขนาดนี้ พอประมาณบ่ายสาม เฉินโหย่วหวาก็โผล่มา”
“…”
“ตอนแรกเจียงเหอได้รับภารกิจมา ก็ต้องมีภาพเหมือนของเขาอยู่แล้วล่ะ เขาเอาภาพเหมือนนั้นมาให้ฉันด้วย แต่เฉินโหย่วหวาที่ฉันเห็นน่ะแตกต่างจากในภาพเหมือนมากทีเดียว มีแค่รูปร่างกับดวงตาเท่านั้นที่ดูเหมือนกัน ตอนนั้นฉันก็เลยฟันธงว่าเป็นเขาในทันทีไม่ได้ คนคนนี้เดินวนรอบร้านหนังสือแล้วก็วิ่งตรงไปที่ประตูหลังร้าน ฉันอ้อมมาจากประตูหน้าแล้วก็ตามหลังเขาไป มองเขาไปที่ทะเลสาบซีหู นั่งอยู่ข้างทะเลสาบตั้งนาน จากนั้นก็ไปกินข้าวที่โหลวไว่โหลว”
ฟังมาถึงตรงนี้ เยวี่ยติ้งถังก็ถาม “แค่กินข้าวเท่านั้นเหรอ”
“แค่กินข้าวเท่านั้นแหละ”
“บ่ายสามไม่ใช่เวลาอาหารเลยนะ”
“แต่เขาสั่งกับข้าวมาเต็มโต๊ะจริงๆ นะ”
“แล้วเขากินหมดเหรอ”
“ไม่หมด กินครึ่งหนึ่งแล้วก็ไป”
“คงจะกันไม่ให้คนสะกดรอย บังหูบังตาเอาไว้”
หลิงซูพยักหน้า “และก็เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัยด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแน่ใจแล้วว่าเขาคือเฉินโหย่วหวา ตอนนั้นฉันก็คงจะปล่อยไปแล้ว ไม่ตามต่อหรอก สุดท้ายฉันก็ตามไปจนถึงสระกวนอิน แล้วก็ได้เป็นพยานรู้เห็นเรื่องลับอันน่าตื่นตะลึงเรื่องหนึ่ง นายเดาซิว่าฉันเห็นอะไร”
“อย่ามัวยึกยักน่า”
“ฉันเห็นคนจะฆ่าเขา”
เยวี่ยติ้งถังถาม “คนของเจียงเหอเหรอ”
“น่าจะไม่ใช่ หลังจากภารกิจของเจียงเหอล้มเหลวไปครั้งหนึ่งเขาก็คืนเงินส่วนนั้นไป ข้อตกลงระหว่างเขากับเสิ่นสือชีก็นับว่าจบไปแล้ว เขาไม่ชอบเป็นเครื่องมือของใคร น่าจะไม่ถึงกับต้องหลอกฉันเรื่องนี้”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “นายดูเข้าใจเขานะ”
“อันนี้ชมหรือเปล่า”
“แล้วนายว่าไงล่ะ”
หลิงซูเอ่ย “ก็ต้องคิดว่านายชมฉันน่ะสิ นายถามฉันแบบนี้ไม่เสียเปล่าหรือไง”
เยวี่ยติ้งถังยอมแพ้ที่จะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว
“จากนิสัยของนาย นายคงจะไปห้ามล่ะสิ”
หลิงซูบอกว่า “เปล่า เฉินโหย่วหวามีความระแวดระวังสูงมาก ที่อ้อมไปอ้อมมาก่อนหน้านั้นหลายรอบก็เพื่อไม่ให้คนสะกดรอยตาม ฉันไม่กล้าตามใกล้เกินไป เพราะฉะนั้นตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับเขาก็เลยไปช่วยไม่ทัน เฉินโหย่วหวาเดินอยู่ในซอยเปลี่ยว และอีกฝ่ายก็ลงมือในซอยเปลี่ยวนั้นเลย แทงมีดเดียวตาย แทบไม่มีโอกาสให้ขัดขืนด้วยซ้ำ ฉันเห็นมือสังหารค้นตัวเฉินโหย่วหวาแล้วเอาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไป”
เยวี่ยติ้งถังกำลังจะถามหลิงซูว่าได้ตามไปหรือเปล่า แล้วก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบราวกับกำลังกินข้าวกินซุปปกติว่า…
“จากนั้นฉันก็ตามไป ล้มเจ้ามือสังหารนั่น แล้วก็เอาหนังสือพิมพ์ในมือของเขามา”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
เขาสังหรณ์ใจว่าหลิงซูจะไปเจอเคราะห์ใหญ่เข้าอีกแล้ว แต่ที่จริงตั้งแต่เขาพบกับหลิงซูอีกครั้ง เหตุการณ์ต่างๆ ก็โถมเข้ามา แทบจะทำให้เขาเคยชินกับความน่าตกใจแบบนี้แล้ว เหมือนกับใครสักคนกำลังหลับสบายแล้วจู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่น ครั้งแรกครั้งที่สองก็อาจจะทำให้หัวใจรับไม่ไหว แต่นานๆ ไปกลับเหมือนถูกฝึกจนเคยชินขึ้นมา
คิดมาถึงตรงนี้เยวี่ยติ้งถังก็ขมวดคิ้ว “ล้มนี่หมายความว่าอะไร”
“ก็ต้องหมายความตามตัวอักษรน่ะสิ คนที่มีจิตใจเมตตากรุณาอย่างฉันจะไปฆ่าคนปิดปากได้ไง”
“…ฉันกลับอยากให้นายปิดปากเขาเสียมากกว่า คนคนนี้ฆ่าเฉินโหย่วหวาได้ ก็ต้องไม่ปล่อยนายเอาไว้แน่”
หลิงซูโบกมือ “นายวางใจเถอะ ฉันรับรองว่าไม่ให้เขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงแน่นอน แล้วคนคนนี้ถึงจะฆ่าเฉินโหย่วหวาแล้วถูกคนอื่นล้มไป เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาจะไปสงสัยคนอื่นอีกหรือเปล่าล่ะ เราใช้สิ่งนี้มาสืบหาความจริงต่อได้หรือเปล่า”
“นายคิดจะทำยังไง”
“คิดหาวิธีให้เหอโย่วอันรู้ว่ามีหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่ ถ้าเธอร่วมมือกับเฉินโหย่วหวาจริงก็ต้องไปที่ร้านหนังสือนั้นแน่นอน และเมื่อมือสังหารฟื้นขึ้นมาก็ต้องมีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างแน่ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็คือเหยื่อชิ้นสำคัญที่จะทำให้ปลาจากทิศต่างๆ กระโดดโลดเต้นมาแก่งแย่งกันงับ แล้วก็ดีดตัวขึ้นสู่ผิวน้ำทีละตัวๆ”
พูดจบเขาก็เอาซองเอกสารข้างมือมาวางบนโต๊ะ
“นี่ก็คือหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น”
เยวี่ยติ้งถังเปิดซองเอกสาร เขาดึงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมาจากในนั้น
มันเป็นหนังสือพิมพ์หลินอันรื่อเป้าธรรมดาๆ ฉบับหนึ่ง
หนังสือพิมพ์ไม่หนา เนื้อหาก็น้อยนิด มองออกเลยว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้คงจะมีทุนไม่พอและพิมพ์ออกมาได้อย่างกระเบียดกระเสียร แต่ทั้งข่าวสาร นิยายภาคต่อ และโฆษณาต่างๆ ที่อยู่ในหนังสือพิมพ์นั้นมีครบถ้วนทุกอย่าง หากราคาถูก โรงน้ำชามากมายในหางโจวก็อาจจะสั่งไปโรงละฉบับเพื่อเอาไว้อ่านให้ลูกค้าที่มาเยือนโรงน้ำชาได้ฟังกัน
การจะหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งย่อมไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพียงแค่ง่ายกว่างมเข็มในมหาสมุทรเล็กน้อย
“ฉันหาเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในนี้ไม่เจอเลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมมือสังหารถึงอยากได้หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ขนาดต้องฆ่าเฉินโหย่วหวา ต้องขอพึ่งท่านศาสตราจารย์เยวี่ยผู้ยิ่งใหญ่ในการไขปริศนาแล้วล่ะครับ” หลิงซูหาว พอเล่าจบเขาก็เริ่มจะอ่อนเพลียง่วงงุนแล้ว
แม้ว่าหลิงซูจะพูดถึงตอนที่ตัวเองล้มมือสังหารแบบผ่านๆ แต่คนที่สามารถฆ่าเฉินโหย่วหวาได้อย่างหมดจดนั้นจะเป็นคนที่รับมือง่ายได้อย่างไร
คนคนนี้ถ้าไม่ทรมานตัวเองสักวันชีวิตคงไม่ปกติสุข
เยวี่ยติ้งถังคิดว่าต่อให้วันใดหลิงซูเอาชีวิตน้อยๆ ไปทรมานจนชีวิตหาไม่ เขาก็ไม่ควรจะแปลกใจเท่าไหร่
ทว่าเยวี่ยชุนเสี่ยวชอบหลิงซูมาก เยวี่ยติ้งถังมองออกว่าพี่สามของเขาคนนี้มองหลิงซูเป็นน้องชายแท้ๆ เธอส่งของดีจากหนานจิงมาทางไปรษณีย์ก็ยังไม่ลืมแบ่งให้หลิงซูชุดหนึ่งด้วย ปกติแล้วเยวี่ยชุนเสี่ยวไม่ใช่คนที่จะให้ความสำคัญกับตัวบุคคล แต่กลับดีกับหลิงซูมากขนาดนี้
ก็ได้แต่บอกว่าหลิงซูน่ะเข้าตาพี่สามของเขาแล้วจริงๆ
นอกจากนั้นยังมีลุงโจวซึ่งเป็นพ่อบ้านชราอีก ที่จริงก็เรียกได้ว่าคนสกุลเยวี่ยทั้งบ้านนั่นแหละ คนเหล่านี้แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่สีหน้าและการกระทำกลับเผยจุดยืนของตัวเองออกมากันทั้งหมด
ก่อนที่หลิงซูจะปรากฏตัวขึ้น กฎเกณฑ์ชีวิตของตัวเยวี่ยติ้งถังเองนั้นช่างน่าเบื่อและแห้งแล้ง ทุกวันเขาไปกลับแค่มหาวิทยาลัยกับบ้านสกุลเยวี่ย แม้ว่าจะมั่นคงแต่ก็ขาดรสชาติ
จนกระทั่งหลิงซูปรากฏตัวขึ้น
เขาพาตัวเองเข้ามาอยู่ในคดีความที่สถานการณ์ขึ้นๆ ลงๆ และบางครั้งก็น่าอกสั่นขวัญแขวนจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ เขาแทบจะเอาชีวิตไปโยนเล่นจนหาไม่แล้ว
ตั้งแต่คดีตระกูลร่ำรวยอย่างคฤหาสน์สกุลหยวนจนถึงคดีข่มขู่ดาราสาว คดีหลังดูเหมือนจะเล็ก แต่ยิ่งสืบกลับยิ่งเชื่อมโยงไปสู่แผนการลับที่ลึกล้ำและใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ
เยวี่ยติ้งถังคิดว่าหากเขารู้แต่แรกว่าเบื้องหลังของเหอโย่วอันจะลึกล้ำถึงขนาดนี้ เขาก็คงไม่ยอมให้หลิงซูก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวตั้งแต่ต้น
“ก็ดูเหมือนเป็นหนังสือพิมพ์ธรรมดาน่ะนะ เว้นเสียแต่ว่า…”
เยวี่ยติ้งถังชะงัก
“หือ?” หลิงซูง่วงงุน เขาพยายามฝืนตอบรับ แล้วก็ได้ยินเยวี่ยติ้งถังพูด
“มีรหัสลับที่สอดรับกัน”
“อืม…”
หลิงซูรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว เขาอยากจะปักหัวลงบนหมอนอย่างเดียวเท่านั้น
เสียงของเยวี่ยติ้งถังเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล คล้ายเพลงกล่อมนอนเสียมากกว่า
“ส่งหนังสือพิมพ์ไปให้เหอโย่วอัน ถ้าเธอเกี่ยวข้องกับเฉินโหย่วหวาจริง รหัสลับอาจจะอยู่ที่เธอ…”
เขาจำได้อย่างเลือนรางว่าตัวเองคล้ายจะพูดอะไรไปสักประโยคหนึ่ง แต่ก็เหมือนจะแค่พึมพำกับตัวเองเท่านั้น
บนหน้าผากมีความเย็นจัดทาบลงมา จากนั้นหลิงซูก็ไม่รู้อะไรอีกเลย