everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 59-60 #นิยายวาย
บทที่ 60
หลิงซูไข้ขึ้น
ไข้นี้ไม่ใช่ไข้ที่มีระดับความร้อนธรรมดา แต่เป็นไข้ที่อุณหภูมิสูงถึงสี่สิบองศา
หมอประจำตระกูลไม่มีความสามารถพอ จึงให้พวกเขาส่งหลิงซูไปโรงพยาบาลกลางดึก
ก่อนหน้านี้เยวี่ยติ้งถังยังคิดว่าอีกฝ่ายจงใจป่วยเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนซักไซ้และถูกตำหนิ จนกระทั่งเอามือไปทาบบนหน้าผากของหลิงซูแล้วรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ส่งมายังฝ่ามือของเขานั่นล่ะ จึงรู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
ช่วงเวลาที่หลิงซูได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่ในชั้นใต้ดินของสกุลหยวนจนถึงตอนที่เสิ่นสือชีส่งคนมาสั่งสอนเขา แล้วก็ยังมีตอนที่พาเจียงเหอหนีตายกลางดึกอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แผลเก่าไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด ก็มีแผลใหม่เพิ่มมา ต่อให้เป็นคนเหล็กก็คงจะรับการทรมานอย่างนี้ไม่ไหว อย่าว่าแต่หลิงซูที่มีแต่เนื้อหนังนุ่มนิ่มเลย
ใบหน้าของเขาซีดมาก
ซีดจนไม่มีสีเลือดฝาดแม้สักนิด ยิ่งอยู่ใต้แสงจากหลอดไฟก็ยิ่งแทบไม่เห็น
ตัวของหลิงซูยังสวมชุดนอนของเยวี่ยติ้งถังอยู่ แต่ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย หลังมือเสียบสายน้ำเกลือ
“กระเพาะกับลำไส้ของคุณหลิงน่าจะไม่ค่อยดี อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลสักคืนก่อนแล้วกันครับ สองสามวันนี้อย่าลืมว่าอาหารและเครื่องดื่มต้องมีรสอ่อนเท่านั้น แล้วก็ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์หนักๆ เนื้อหมูเนื้อวัวเนื้อปลาทั้งหลายด้วยนะครับ”
คำพูดของหมอดังก้องในหู เยวี่ยติ้งถังปวดศีรษะเล็กน้อย
เพราะโดนฝนก็เลยเป็นหวัดเป็นไข้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงโยงไปเรื่องกระเพาะลำไส้ไม่ดีได้ล่ะ นี่หลิงซูมีอาการไม่ปกติในตัวกี่อย่างกันแน่
เยวี่ยติ้งถังเบนสายตาไปยังเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง
คนป่วยยังไม่ได้สติ ดวงตาคู่นั้นหรี่ปรือคล้ายจะเปิดแต่ก็ไม่ แสงวิบวับเลือนรางลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างเปลือกตานั้น คล้ายจะตื่นแต่ก็คล้ายจะไม่ ดูสะลึมสะลืออย่างหนัก
ปากของเขายังพึมพำงึมงำ เพียงแต่เสียงนั้นเบาเกินไปจนฟังไม่ออกว่าพูดอะไรอยู่
เยวี่ยติ้งถังค้อมเอวโน้มตัวเข้าไปใกล้
“เหล่าเยวี่ย…”
คำที่อีกฝ่ายเอ่ยคือชื่อของเขา
เยวี่ยติ้งถังร้องอืม “ฉันอยู่นี่”
“ทางเหอโย่วอันน่ะ”
เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ เรื่องของเธอนายไม่ต้องวุ่นวายใจหรอก”
“ไม่ใช่” หลิงซูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เขาฝืนเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก “ฉันหมายความว่าครั้งก่อนที่เหอโย่วอันรับปากว่าจะให้เงินรางวัลน่ะยังไม่ได้ให้เลย นายอย่าลืมให้เธอไปแปลงเป็นเงินดอลลาร์มาด้วย ช่วงนี้ค่าเงินดอลลาร์คงตัว ไม่เอาเงินท่านหยวนหัวโตแล้ว…”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
ชั่ววินาทีนั้น เขารู้สึกอยากจะกราบกรานหลิงซูจากใจจริงเลยทีเดียว
แต่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ
“แล้วก็ซุปไก่ของลุงโจวน่ะ อุตส่าห์ต้มมาอย่างยากลำบาก ฉันยังกินไม่หมดเลย…”
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
เด็กคนนี้คงจะซึ้งน้ำใจเขาเป็นอย่างมาก แม้แต่ตอนที่สติเลือนรางเพราะไข้สูง ก็ยังจดจำซุปไก่ครึ่งชามนั้นได้ไม่ลืม
“ผมจะให้คนกลับไปต้มให้เดี๋ยวนี้เลยครับ พรุ่งนี้คุณน่าจะอาการดีขึ้นแล้ว ผมจะเอามาส่งให้ รับรองว่าคุณได้รับประทานจนพอใจแน่ๆ ครับ ยังมีพวกของกินเล่นเล็กน้อยพวกนั้นอีก ทั้งกระทงกรอบหยก ลูกชิ้นกุ้งเส้นทอง ผมให้พ่อครัวทำเอาไว้อย่างละหน่อยด้วย ดีไหมครับ”
หลิงซูยิ้มด้วยความพึงพอใจ เขาพูดงึมงำ “ลุงโจวนี่ดีจริงครับ”
พ่อบ้านมีสีหน้าเอ็นดู
เยวี่ยติ้งถังไม่รู้จะตอบอย่างไร
เขาทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจึงหันกายออกจากห้องผู้ป่วย เดินเตร่ไปทั่วทางเดินรอบหนึ่ง
แม้ว่าจะดึกแล้วแต่เขาก็ไม่รู้สึกเพลียสักนิด
เยวี่ยติ้งถังเปิดหน้าต่างออกกว้างให้กลิ่นอายของหิมะข้างนอกพัดพาเข้ามา แล้วเงยหน้ารับอากาศเย็น ทำให้จิตใจรู้สึกสดชื่นขึ้น
บางครั้งก็มีญาติผู้ป่วยมาร่ำไห้ขอร้องแพทย์อย่างโศกเศร้า ทุกอารมณ์ความรู้สึกต่างเอ่อท้น คงเป็นการพบพรากของมนุษย์
และก็มีช่องว่างของประตูบางบานที่แง้มอยู่ เขาเห็นแพทย์ส่ายหน้าให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ พร้อมคำพูดปลอบประโลมญาติผู้ป่วยด้วยอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง
ทว่าก็ยังมีอีกหลายคน…ที่เป็นผู้ป่วยซึ่งไม่อาจมานอนโรงพยาบาลได้ไหว
หากมองจากหน้าต่างชั้นสามลงไป ที่ริมถนนใหญ่อันมีหิมะพัดปลิว ขอทานขดตัวเป็นก้อนกลม ผู้คนเดินไปมารีบเร่งในเสื้อผ้าบางเบา ไม่อาจมอบความเอื้ออารีแก่ขอทานเหล่านั้นแม้แต่เหรียญทองแดงสักเหรียญ
ไม่ไกลกันนักมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ขัดจังหวะภวังค์ความคิดอันสงบนิ่งของเยวี่ยติ้งถัง
เขาหันไปมอง ที่ห้องพักฟื้นผู้ป่วยตรงปลายสุดทางเดินมีคนไม่น้อยห้อมล้อมอยู่นอกประตู หนึ่งในนั้นยังมีคนคุ้นเคยของเยวี่ยติ้งถังอีกด้วย
‘คนคุ้นเคย’ หันมาเห็นเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนแรกคนคนนั้นตกใจ ต่อมาก็ยิ้ม จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามาหา
“คุณเยวี่ย ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ หรือว่าคนในบ้าน…”
อีกฝ่ายก็คือเจ้าของบริษัทภาพยนตร์ เถิงซื่อผิง
เยวี่ยติ้งถังส่งเสียงอืม ไม่อยากพูดมาก เขาถามกลับ “เมื่อกี้ผมเห็นคุณเฉิงกงเข้าไปในห้องพักฟื้น หรือว่าในห้องนั้นคือ…”
เถิงซื่อผิงถอนหายใจ “คุณเหอบาดเจ็บครับ”
เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้ว “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
เถิงซื่อผิงยิ้มขื่น “จะบอกว่าไม่เป็นอะไรเลยก็ไม่ได้หรอกครับ เพียงแต่เกือบไป อันตรายมาก!”
ในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเหอโย่วอัน เธอแสดงเป็นนักศึกษาหญิงหัวก้าวหน้าคนหนึ่ง
เพื่อต่อต้านการแต่งงานที่มีผลประโยชน์ตามที่ครอบครัวจัดการให้ และเพื่อต่อต้านไม่ให้บิดาของเธอกดดันมารดา นางเอกจึงหนีออกจากบ้าน ผลคือเธอมีประสบการณ์ไม่มากพอจึงโดนจับกลับมา
พ่อแม่ต้องการให้เธอแต่งงานกับบุตรชายของตระกูลผู้ดีท้องถิ่นคนหนึ่ง เธอยังคงไม่ยอมทำตามอย่างเด็ดขาดและประท้วงด้วยการอดอาหาร ครอบครัวจึงจำต้องยอมให้ แต่กลับไปตกลงกับฝ่ายผู้ชายแล้วจับเธอมัดใส่เกี้ยวดอกไม้ส่งให้ฝ่ายชาย วางแผนให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก* ไปเสีย
นักศึกษาสาวที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงเทียนมงคลในห้องหอนั้นเสียใจจนถึงที่สุด เธอคิดจะผูกคอจบชีวิตตัวเอง หลังจากมีคนมาช่วยเอาไว้ได้เธอก็ยังคิดไม่ตก เริ่มจะคิดหาทางหลีกหนีจากการมีชีวิตอยู่อีก หลังจากผ่านสถานการณ์พลิกผันหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็หนีจากบ้านสามีที่เธอมองว่ามันเป็นเหมือนกับรังปีศาจไปได้ และมุ่งหน้าสู่นครเซี่ยงไฮ้อันเจริญรุ่งเรือง เธอเขียนเรื่องส่งหนังสือพิมพ์ เอาเรื่องเลวร้ายที่ตนประสบพบเจอมาเขียนเป็นเรื่องราวป่าวประกาศให้คนมากมายได้รู้ และเธอก็มีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยเหตุนี้ ได้เข้าทำงานในโรงเรียนมัธยมสตรีแห่งหนึ่ง แล้วก็เกิดความรักขึ้นกับครูผู้ชายคนหนึ่ง
แต่หลังจากมีชื่อเสียง เธอก็ไม่ได้หลุดพ้นจากพันธนาการของปัญหา ชื่อเสียงของเธอโด่งดังไปถึงบ้านเกิด บ้านสามีของเธอมาหาถึงเซี่ยงไฮ้แล้วสู้กับเธอในชั้นศาล พวกเขาฟ้องเธอข้อหาทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่สะท้อนถึงโศกนาฏกรรมของยุคสมัย ตอนนี้ภาพยนตร์แบบนี้มีอยู่มากมาย พล็อตประเภทนี้ก็มีอยู่มาก แต่เนื่องจากเรื่องนี้มีเหอโย่วอันร่วมแสดง ยังไม่ทันถ่ายทำก็ดึงดูดความสนใจของหนังสือพิมพ์มากมายแล้ว ทั้งยังมีนักเขียนเลื่องชื่อมาเขียนบทความวิพากษ์เกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบต่อผู้หญิงจากการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์อีกด้วย ทำให้เกิดกระแสถกเถียงกันอย่างร้อนแรงทีเดียว
ตอนที่เหอโย่วอันประสบเหตุนั้นเธอกำลังถ่ายฉากผูกคอตายใต้แสงเทียนมงคลในห้องหอพอดี
เทียนสีแดงกับม่านลายดอก คนงามในชุดมงคลหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก ไร้หนทางเดิน สามีที่ยังไม่เคยพบหน้ากำลังรับการเคารพด้วยสุรามงคลอยู่ข้างนอก เธอกลับถูกขังอยู่ในห้อง รอโชคชะตาอันมิอาจล่วงรู้ คนของบ้านสามีคอยเฝ้าดูอย่างเข้มงวด หญิงสาวอ่อนแอไม่สามารถต่อต้าน ทำได้เพียงเลือกวิธีที่เด็ดขาดที่สุด
ตั้งแต่เหอโย่วอันได้รับภาพที่มีนัยในจดหมายฉบับนั้นเธอก็ระแวดระวังเป็นอย่างมาก เธอยืนยันว่าจะไม่ยอมแสดงฉากผูกคอตายเด็ดขาด ด้วยกลัวว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันกับตัวเอง
ทว่าผู้กำกับกลับคิดว่ายังไงนี่ก็เป็นฉากคนงามร่ำไห้ใคร่จบชีวิต เป็นหนึ่งในฉากที่จะดึงดูดผู้ชมให้รู้สึกโศกเศร้าร่วมไปกับตัวละครและเห็นอกเห็นใจตัวละครมากที่สุด เหอโย่วอันกับผู้กำกับถกเถียงกันอยู่นาน ทั้งคู่ก็ยึดตามความคิดของตน ไม่ว่าใครก็เห็นการถกเถียงนี้กันทั้งหมด
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เยวี่ยติ้งถังก็ถาม “สุดท้ายคุณเหอก็ยอมประนีประนอมหรือครับ”
เถิงซื่อผิงพยักหน้า “โย่วอันรักการแสดงหนังมาก และเธอก็ยอมเสียสละ เธอไม่ยอมทำลายความประณีตงดงามของหนังทั้งเรื่องเพียงเพื่อตัวเธอเองหรอก แต่ความกังวลของเธอพวกเราก็ไม่กล้าละเลย พวกเราจัดคนมาเฝ้าดูรอบๆ ให้มากขึ้น เมื่อเธอขึ้นไปแขวนตัวบนผ้าแพรสีขาวแล้ว ขอเพียงยกปลายเท้าขึ้นก็จะมีคนเข้าไปประคองเธอลงมาทันที ม้านั่งที่เหยียบขึ้นไปก็ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก แต่ก็ไม่คิดว่าป้องกันขนาดนั้นแล้วก็ยังเกิดเรื่องขึ้น”
สิ่งที่มีปัญหาไม่ใช่เก้าอี้ไม่มั่นคง และไม่ใช่ว่าผ้าแพรสีขาวผืนนั้นขาดทำให้เหอโย่วอันตกลงมาบาดเจ็บ ทั้งยังไม่ได้เกี่ยวกับคานด้านบนที่ใช้ผูกผ้าแพรด้วย แต่เป็นคานที่อยู่ด้านข้าง ขณะที่เหอโย่วอันแกะผ้าแพรออกนั้นคานด้านข้างก็กลับร่วงลงมาอย่างแรง มันหล่นลงมาโดนตัวเธอกับคนของกองถ่ายอีกคนหนึ่ง
คนของกองถ่ายโดนคานหล่นลงมาใส่จนศีรษะแตกเป็นแผลใหญ่ เลือดไหลนองพื้นที่เกิดเหตุ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เหอโย่วอันถูกกระแทกเข้าที่ไหล่กับศีรษะ เธอยังมีสติอยู่ แต่ก็เลือดออกมาก ทำเอาคนรอบๆ พากันตกใจไปตามๆ กัน
เวลานั้นคุณเฉิงมาเยี่ยมดูที่สถานที่ถ่ายทำพอดี ตอนที่กำลังจะออกไปเหอโย่วอันก็เกิดเรื่องขึ้นมาพอดี เถิงซื่อผิงรีบไปโรงพยาบาลด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เขากลัวว่าเหอโย่วอันจะเป็นอันตราย และก็กลัวว่าคุณเฉิงจะมาโกรธเขาด้วย
“โชคดี อมิตาภพุทธ สวรรค์คุ้มครอง โย่วอันไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่หมอบอกว่าศีรษะของเธอได้รับการกระทบกระเทือน บาดแผลภายนอกก็สาหัส น่าจะต้องพักรักษาตัวหลายวัน ช่วงนี้ยังไม่สามารถถ่ายหนังได้ระยะหนึ่ง”
เถิงซื่อผิงดูมีสีหน้ายินดี
เยวี่ยติ้งถังพยักหน้า “ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตก็ดีแล้วครับ เรื่องอื่นก็เป็นเรื่องเล็กน้อย”
เถิงซื่อผิงยิ้มขื่น “นั่นน่ะสิครับ โชคดีมากๆ ที่โย่วอันมีสติอยู่ ทั้งยังจำใครต่อใครได้ ได้ยินว่าบางคนที่ศีรษะกระทบกระเทือนอย่างหนักน่ะถึงขั้นจำใครไม่ได้เลยนะครับ คุณเยวี่ย จะเข้าไปดูคุณเหอหน่อยไหมครับ”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “คุณเฉิงยังอยู่ ผมคงไม่เข้าไปรบกวนแล้วล่ะครับ ฝากความห่วงใยให้เธอด้วยก็แล้วกัน ขอให้เธอฟื้นตัวในเร็ววัน ผมขอไปดูคนในครอบครัวผมก่อนนะครับ”
เถิงซื่อผิงตอบรับติดๆ กัน เขามองส่งเยวี่ยติ้งถังเดินจากไป
รอจนอีกฝ่ายเดินไปไกลแล้วเขาจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเองมัวแต่ตกอกตกใจเรื่องเหอโย่วอัน จนลืมใส่ใจเยวี่ยติ้งถังไปเลยว่าญาติของอีกฝ่ายที่มานอนโรงพยาบาลนั้นเป็นใคร อาการหนักหรือไม่ พักอยู่ห้องไหน
นี่คือโอกาสอันดีที่จะสนิทสนมกับสกุลเยวี่ยมากขึ้น แต่เขาก็กลับพลาดไปเสียได้
เถิงซื่อผิงอดที่จะเสียดายไม่ได้
ตอนที่เยวี่ยติ้งถังกลับไป พ่อบ้านยังไม่ไปไหน เขากำลังนั่งพูดคุยกับหลิงซูอยู่ข้างเตียง
หลิงซูดูอ่อนเพลียมากแต่กลับไม่ยอมนอน จะต้องดึงตัวพ่อบ้านเอาไว้คุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับตัวเองให้ได้
พ่อบ้านเห็นเยวี่ยติ้งถังกลับมาก็ถอนหายใจ
“คุณชายสี่ เด็กคนนี้ดื้อจริงครับ ไม่ยอมนอนท่าเดียว ต้องให้คุณมาดูสักหน่อยแล้วล่ะครับ”
ที่ด้านหลังพ่อบ้านนั้น หลิงซูตาบวม ทำไม้ทำมือ
เยวี่ยติ้งถังสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่ต้องสนใจเขาหรอก ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว อย่างมากก็แค่ป่วยจนล้มไปอีกรอบเท่านั้น กินยาสักหน่อย แล้วก็นอนโรงพยาบาลไปซะ พวกซุปไก่ซุปเป็ดซุปงาถั่วเขียวอะไรของลุงก็จะได้ประหยัดไปเยอะ”
พ่อบ้านเอ่ยว่า “โธ่ คุณอย่าพูดแบบนั้นสิครับ เสี่ยวหลิงก็ลำบากมากนะ คุณหมอบอกว่าคืนนี้ต้องนอนโรงพยาบาล หรือไม่อย่างนั้นผมอยู่ดูแลดีกว่าครับ คุณชายกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
“ไม่ต้องหรอก ลุงกลับไปเถอะ ผมอยู่เอง” เยวี่ยติ้งถังเห็นพ่อบ้านยังอยากจะโน้มน้าวเขาอีก จึงเอ่ยเสริมอีกประโยค “ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา”
พ่อบ้านดูร้อนรนเป็นห่วง ปากก็ตอบรับแต่ตัวกลับยังรั้งรออยู่ในห้อง จะไปก็ไม่ไป ย่างก้าวของเขาดูเชื่องช้าลังเล
เยวี่ยติ้งถังจึงถามว่า “ลุงโจว ยังมีธุระอะไรอีกงั้นเหรอ”
พ่อบ้านจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไว้ “มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันนะครับ อย่าลงไม้ลงมือ อย่าด่าทอกัน”
เยวี่ยติ้งถัง “…”
บางทีสีหน้าของเขาอาจจะดูไม่ดีจริงๆ ก็ได้ แต่ลุงโจวไม่กล้าพูดมาก ครั้งนี้อีกฝ่ายเดินออกไปอย่างเด็ดขาด
เยวี่ยติ้งถังไปส่งพ่อบ้านออกจากห้องพักฟื้นผู้ป่วยแล้วก็สั่งให้คนขับรถพาเขากลับบ้านไป
เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง หลิงซูก็ลุกขึ้นนั่งส่งยิ้มมาให้
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องเห็นที่ฉันทำไม้ทำมือ”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “เมื่อกี้ฉันเจอเหอโย่วอัน”
หลิงซูมีสีหน้าประหลาดใจ
“เธอถ่ายหนังอยู่แล้วคานหล่นลงมากระแทกได้รับบาดเจ็บ เป็นฉากแขวนคอพอดี”
หลิงซูส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น จดหมายขู่นั่นก็มีเหตุการณ์สอดรับแล้วน่ะสิ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “แต่เธอก็ยังไม่ตายอีกครั้ง”
“นายหมายความว่านี่ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เธอสร้างขึ้นมาเองอย่างนั้นเหรอ”
“ก็มีความเป็นไปได้”
“แล้วเฉินเหวินต้งล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังตอบ “ไม่เห็นเขานะ”
เขาหยิบแอปเปิ้ลลูกหนึ่งขึ้นมาจากตะกร้าผลไม้
เยวี่ยติ้งถังถอดถุงมือออก มือก็ถือมีดปอกผลไม้ นิ้วเรียวยาวขยับอย่างคล่องแคล่ว เปลือกผลไม้ถูกปอกออกมาอย่างสบายๆ เปลือกคดเคี้ยวหย่อนตัวลงมาเรื่อยๆ โดยไม่ขาดสะบั้นราวกับเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
หลิงซูมองเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง
น้อยนักที่เขาจะพบเห็นคนใช้มีดได้แบบนี้
คนที่ปอกผลไม้เป็นอาจจะมีมาก แต่คนที่ทำมันออกมาได้อย่างงดงามเหมือนเยวี่ยติ้งถังจนมีดกับมือแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น…มีไม่มาก
จนถึงตอนนี้เขาเคยเห็นแค่คนเดียวเท่านั้น
แต่คนคนนั้นฆ่าคนเก่ง
หลิงซูลูบหน้าผากที่ร้อนผ่าว เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิต ไม่ว่าจะหันกายย่างก้าวล้วนแล้วแต่กลายเป็นถูกพันธนาการไปทั้งสิ้น ที่ตอนนี้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ก็ย่อมเป็นเพียงจินตนาการของตนเท่านั้น
สายตาของเยวี่ยติ้งถังไม่มีไอสังหาร มือก็ไม่ได้เปื้อนเลือด เขาเป็นคนสุขุมสุภาพ นิ่งสงบไว้ใจได้ ฝีมือยิงปืนไม่เลว ปฏิกิริยาก็นับว่ารวดเร็วกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่มันก็เท่านี้
แอปเปิ้ลได้รับการปอกอย่างเรียบร้อยรวดเร็ว ดูท่าจะเปรี้ยวอมหวาน เนื้อกรอบอร่อย มันส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมา
เยวี่ยติ้งถังส่งให้เขา
หลิงซูอ้าปากอยากจะกัด แต่กัดได้เพียงความว่างเปล่า
“ขอโทษที ฉันลืมว่านายกระเพาะไม่ดี” เยวี่ยติ้งถังว่า จากนั้นก็ส่งแอปเปิ้ลเข้าปากตัวเอง
เขากัดดังกร้วม มันกรอบจริงๆ
นี่มันแก้แค้นกันชัดๆ
หลิงซูถอนหายใจ เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอน มันคือสิ่งที่เขาเพิ่งเอาติดตัวมาจากบ้าน
“อีกเดี๋ยวเวลานายไปหาเหอโย่วอันก็เอากระดาษแผ่นนี้ไปด้วยแล้วกัน”
“นายแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะไปหาเธอ”
หลิงซูเอ่ยอย่างใสซื่อ “หรือว่านายจะให้ฉันลากสังขารป่วยๆ แบบนี้ไปล่ะ”
“ฉันว่านายก็มีชีวิตชีวาดีออก”
หลิงซูนอนลง ห่มผ้า
“ฉันเวียนหัวมาก นั่งไม่ค่อยจะไหวแล้ว นายจะทำอะไรก็ตามสบายนะ”
เยวี่ยติ้งถังรออยู่ครู่หนึ่ง
หลิงซูหลับตา หายใจสม่ำเสมอ เส้นผมดูนุ่มนิ่ม เหมือนกับสัตว์เล็กๆ ที่ไม่ทำอันตรายใคร
เยวี่ยติ้งถังยื่นมือออกไปจิ้มแขนอีกฝ่าย ไม่มีการขยับเขยื้อน
จิ้มแล้วจิ้มอีกก็ยังไม่ขยับ
นอนหลับไปแล้วจริงๆ
เขาวางแอปเปิ้ลที่กินไปครึ่งลูกเอาไว้บนโต๊ะ หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วหันกายเดินออกไป
ดึกมากแล้ว
คุณเฉิงไปแล้ว บอดี้การ์ดที่ประตูก็แยกย้ายกันไปกว่าครึ่ง เหลือเพียงคนสวมกว้าจื่อสั้นสองคนคอยเฝ้าเอาไว้
เยวี่ยติ้งถังเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะถูกบอดี้การ์ดสองคนนั้นกันเอาไว้ทันที
“ผมเป็นเพื่อนของคุณเหอ มาเยี่ยมเธอ รบกวนพวกคุณไปบอกเธอหน่อย”
อีกฝ่ายเห็นเขาสวมสูทกับเสื้อโค้ต ท่าทางก็ดูเกรงอกเกรงใจ “คุณเหอนอนหลับแล้ว รบกวนคุณมาใหม่พรุ่งนี้นะครับ”
“พรุ่งนี้ผมก็ไม่ว่างแล้ว คุณเข้าไปบอกเธอหน่อยเถอะ บอกว่าผมคือเยวี่ยติ้งถัง เธอจะพบผมแน่นอน”
เดิมทีอีกฝ่ายเป็นนักเลงตัวเล็กๆ จากสมาคมชิงปัง รู้จักปฏิบัติต่อคนตามสถานะชนชั้น เวลานี้เมื่อเห็นเขาแจ้งชื่อแซ่ มาดก็ดูไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าวางท่ามากนัก
เยวี่ยตั้งถังเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอีกประโยค “ถ้าคุณเฉิงของพวกคุณอยู่ที่นี่ก็คงจะออกมาพบผมเหมือนกัน หากพวกคุณไม่วางใจ จะไปสอบถามเขาตอนนี้เลยก็ได้”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่เฉิงกงก็ยังรู้จักอีกฝ่าย ชายสวมกว้าจื่อสั้นก็ยิ่งไม่กล้าวางท่ามาก และในเวลานั้นเอง เสียงที่ฟังดูอ่อนแรงเล็กน้อยของเหอโย่วอันก็ดังออกมาจากข้างใน
“ใครอยู่ข้างนอกน่ะ”
ชายสวมกว้าจื่อสั้นเปิดประตูครึ่งหนึ่ง
“คุณเหอ เป็นคุณชายแซ่เยวี่ยครับ”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยว่า “ผมเองครับ”
“คุณเยวี่ยเหรอคะ รีบให้เข้ามาเร็ว!” เหอโย่วอันรีบพูด
ชายสวมกว้าจื่อสั้นไม่กล้าขวางเอาไว้อีก เขาเปิดประตูให้เยวี่ยติ้งถังแล้วเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไป
เหอโย่วอันลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“คุณเยวี่ย มาได้ยังไงกันคะ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “หลิงซูป่วยเข้าโรงพยาบาลน่ะครับ ผมมาส่งเขา แล้วก็ได้ยินว่าคุณอยู่ที่นี่เหมือนกันก็เลยมาเยี่ยม พอดีไม่มีของเยี่ยมติดมาเลย หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะครับ วันหน้าผมจะเอามาให้ใหม่”
เหอโย่วอันยิ้มซีดเซียว “คุณเยวี่ยเกรงใจเกินไปแล้วล่ะค่ะ แค่คุณมาได้ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว คุณหลิงเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เขาไม่เป็นไรครับ”
เยวี่ยติ้งถังพยักหน้าไปตามเรื่อง เขามองสำรวจเหอโย่วอันโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
เธอได้รับบาดเจ็บจริงๆ และอารมณ์ของเธอก็ดูไม่ค่อยดี ตอนนี้ก็เพียงแค่ฝืนร่าเริงตอบรับเขาตามมารยาทเท่านั้น
ภายใต้ชุดผู้ป่วยนั้น ลำคอที่เดิมควรจะเผยผิวเนียนออกมากลับถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้ดูแน่นหนา ผ้าพันแผลนั้นยังพันยาวไปจนถึงข้อศอกของเธอ
บนศีรษะก็มีผ้าพันแผลพันเอาไว้เช่นกัน ตำแหน่งใกล้กับขมับมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ตำแหน่งนี้อันตรายมาก หากไม่ระวังสักนิดก็อาจจะบาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิตทีเดียว
เวลานี้คงจะเป็นเวลาที่เหอโย่วอันจิตใจอ่อนแอที่สุด เขาจะหาช่องโหว่ของปริศนาจากตัวเธอได้หรือไม่
เยวี่ยติ้งถังวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ตรงหน้าเธอ
“คุณเขียนกระดาษแผ่นนี้ให้พวกเรา อยากจะบอกอะไรเหรอครับ”
เขาไม่ได้ถามว่ากระดาษแผ่นนี้เหอโย่วอันเป็นคนเขียนหรือไม่ แต่แทงเข้าไปตรงๆ อย่างมั่นใจว่าเป็นเธอแน่นอนโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสตอบสนองใดๆ
เหอโย่วอันตะลึงงัน
อาการบาดเจ็บทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงช้าลง หลังจากตะลึงงันแล้วก็ค่อยๆ เผยความประหลาดใจออกมา
“คุณเยวี่ย คุณกำลังพูดถึงอะไรคะ”
ทว่าประโยคนี้ก็เป็นการเปิดเผยอย่างชัดเจนแล้ว
เยวี่ยติ้งถังสรุปด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจแน่ใจไปกว่านี้ได้อีก “เป็นคุณจริงๆ ด้วย!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 มี.ค. 65