everY
ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 61-62 #นิยายวาย
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 61
เมื่อตระหนักว่าตนเผลอหลุดปากไปเสียแล้ว เหอโย่วอันก็รีบปิดปากสนิทไม่พูดจาทันที
เยวี่ยติ้งถังก็ไม่ได้รีบร้อน เขานั่งลงตรงข้ามเหอโย่วอัน บนเก้าอี้ที่คุณเฉิงนั่งตอนที่มาเมื่อสักครู่นี้
สองมือประสานกัน ยกขาขึ้นไขว่ห้าง คงความนิ่งสงบเอาไว้ด้วยท่าทางสง่างามอย่างที่สุด
ทั่วทั้งตัวของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้นคล้ายสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อคำว่า ‘ศาสตราจารย์’ โดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นศาสตราจารย์ที่กลับมาจากการศึกษาในต่างประเทศด้วย เพราะเหล่าบัณฑิตที่เกิดและเติบโตในบ้านเดิมของตนนั้น ปกติจะสวมเสื้อจีนตัวยาวกับเสื้อคลุมยาว คนสองประเภทนี้แยกออกจากกันชัดเจน ไม่ปะปนกันอย่างเด็ดขาด
เหอโย่วอันพบเห็นผู้ชายหล่อเหลาภูมิฐานมามาก
พวกผู้ชายที่ถ่ายหนังด้วยกันนั้น ยกตัวอย่างเช่นเว่ยหงเซวียน ก็จะเป็นคนที่หล่อเหลาหน้าตาโดดเด่นไม่ธรรมดาที่จะพบได้เพียงหนึ่งคนในระยะร้อยลี้ ไม่อย่างนั้นซูเถาภรรยาของเขาก็คงไม่ต้องมาคอยกันผู้หญิงคนอื่นราวกับกันขโมยเช่นนี้ เพราะเธอกลัวว่าเว่ยหงเซวียนจะพัวพันกับพวกเธอแม้เพียงเล็กน้อย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเยวี่ยติ้งถังก็ดี หลิงซูก็ดี ก็นับว่าเป็นคนที่ดูโดดเด่นเหนือใครในละแวกนี้ทั้งสิ้น
ความหล่อเหลาของหลิงซูกับเยวี่ยติ้งถังนั้นก็แตกต่างกัน
หลิงซูต่างจากคนนิ่งสุขุมอย่างเยวี่ยติ้งถัง เขาดูเจ้าสำราญ ปล่อยตัวตามสบาย มีอิสรเสรี ดวงตาเหมือนดอกท้อคู่นั้นเพียงปรายมองอย่างไม่ใส่ใจก็เรียกให้ดอกท้อ มากมายเป็นกองวิ่งเข้าใส่เองโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ ไม่ต้องสนใจหรอกว่าบนตัวเขาจะสวมเสื้อจีนตัวยาว เสื้อคลุมยาว หรือว่าจะสวมเสื้อโค้ตเสื้อกั๊กก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็สวมออกมาแล้วทำให้บรรยากาศต่างออกไปจากคนอื่นทั้งสิ้น
ทว่าตอนนี้เหอโย่วอันไม่ได้มีแก่ใจจะมาชื่นชมสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด
ความรู้สึกของเธอวุ่นวายสับสนไปหมด ถึงขนาดไม่สามารถสบตากับเยวี่ยติ้งถังเหมือนปกติ พวกเขายื้อเกมกันไปมา
“คุณเยวี่ย ฉันค่อนข้างเหนื่อยน่ะค่ะ คงไม่สะดวกพูดคุยกับคุณ พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่เถอะนะคะ”
“ความสัมพันธ์ของสาวใช้แซ่เฉียนกับคุณ ที่จริงก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยช้าๆ พลางปรับท่านั่งของตนไปด้วย เขาเปลี่ยนมานั่งท่าที่สบายกว่าเดิม
“ผมให้คนไปสืบมาแล้ว สาวใช้เฉียนมือไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไหร่ ระหว่างที่รับใช้อยู่ข้างกายคุณ เธอเคยขโมยเงินกับทรัพย์สินของคุณหลายครั้ง คุณเคยคิดจะไล่เธอออกไปแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เพราะงั้นการตายของเธอ ก็ใช่ว่าคุณจะพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสียทีเดียว
หลิงซูมีภาพจำที่ดีกับคุณมากๆ ไม่เคยสงสัยคุณสักนิดเดียว คุณพูดอะไรเขาก็เชื่อหมด เขาสืบคดีตามทิศทางที่คุณให้เขามาตลอด แต่ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น…ผมคิดว่าในคดีนี้ คุณทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์มากเกินไป สมบูรณ์แบบเกินไป ทำให้รู้สึกว่ามันไม่จริง ดังนั้นระหว่างที่หลิงซูช่วยคุณหาตัวคนร้าย ผมก็เริ่มลงมือจากมุมอื่นเพื่อลองเปิดกล่องแห่งความจริงดู”
“…”
“คุณ…เป็นดาราหนังคนหนึ่ง ก็ต้องมีชื่อเสียงในวงกว้าง มีคนมากมายชื่นชอบและเกลียดชังคุณ แต่พูดกันให้ชัดเจนก็คือถ้าคุณตายไป อย่างมากหนังสือพิมพ์ก็คงพาดหัวข่าวให้คุณสักหนึ่งวัน พอเวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็คงมีคนที่สวยกว่าคุณ สาวกว่าคุณ เป็นดาราสาวที่แสดงได้อย่างโดดเด่นกว่าคุณ มาแทนที่คุณ ยึดพื้นที่สายตาของผู้คนทั้งหลายแทนคุณ”
“…”
“ถ้าเปลี่ยนคุณเป็นพวกคนใหญ่คนโตในรัฐบาล บางทีอาจจะมีค่าพอแก่การขู่ฆ่าบ้าง แต่ว่า…คุณเหอ ถ้าให้ผมพูดตรงๆ นะ คนที่เกลียดคุณก็น่าจะฆ่าคุณไปเลย ส่วนคนที่ไม่มีทางฆ่าคุณได้ก็คงแค่ข่มขู่ให้พอแสบๆ คันๆ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ไม่มีทางส่งคนที่มีฝีมือขนาดนั้นมาจัดการข่มขู่คุณครั้งแล้วครั้งเล่าแน่นอน ในเมื่อความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างไม่มีอยู่แล้ว มันก็คงเหลืออยู่แค่อย่างเดียว นั่นคือจดหมายข่มขู่พวกนั้นเป็นแผนการของคุณแต่เพียงผู้เดียว”
เหอโย่วอันฟังอยู่เงียบๆ จนจบ ไม่ได้เอ่ยขัดเขา
จนกระทั่งเยวี่ยติ้งถังหยุดพูด เธอจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ฉันคิดว่าคุณเยวี่ยจะมาเยี่ยมไข้ฉัน ไม่คิดเลยว่าคุณจะมาเพื่อกล่าวหาฉัน ขอถามคุณเยวี่ยหน่อยนะคะ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมาเอง แล้วทำไมฉันต้องลงมือกับตัวเองด้วยล่ะคะ ถ้าวันนี้ฉันพลาดไปนิดเดียวชีวิตน้อยๆ ของฉันก็คงหาไม่แล้ว ตอนนี้หัวกับไหล่ของฉันบาดเจ็บ ต่อให้เรียกหมอคนไหนมาก็คงจะพิสูจน์ได้ว่าอาการบาดเจ็บของฉันสาหัสมาก แล้วทำไมคุณถึงต้องใส่ร้ายฉันแบบนี้ด้วยล่ะ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “เรื่องนี้ก็คงต้องถามตัวคุณเองแล้วครับ เหมือนว่าผมเพิ่งจะพูดไปนะว่าคุณกับคุณเฉียนไม่ลงรอยกัน แต่หลังจากเธอเสียชีวิตคุณก็กลับไม่พูดถึงประเด็นนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณจงใจปิดบังแล้วมันจะเพราะอะไรล่ะครับ ผมถึงขั้นมีสาเหตุเพียงพอที่จะสงสัยด้วยซ้ำว่าคุณฆ่าคุณเฉียน ถึงได้สร้างเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา”
เหอโย่วอันขมวดคิ้ว “ตามที่คุณพูด ในเมื่อสาวใช้เฉียนก็ตายไปแล้ว ทำไมฉันถึงยังต้องสร้างเรื่องให้ตัวเองบาดเจ็บคราวนี้อีกล่ะคะ”
“บางทีคุณอาจจะอยากให้ตัวเองหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยโดยสมบูรณ์ก็ได้ ยังไงถ้าเรื่องมันหยุดที่คุณเฉียนก็จะดูชัดเจนเกินไป เมื่อแผนทำลายตัวเองเริ่มแล้วก็ต้องหาทางลง มีจุดเริ่มต้นและจุดจบสักหน่อย”
เหอโย่วอันถอนหายใจ
เธอคล้ายจะรู้สึกวิงเวียนจึงหลับตาอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“คุณเยวี่ย ในใจของฉันคุณเป็นคนที่สุขุมและมีเหตุผล ไม่ควรจะรีบร้อนมากล่าวหากันอย่างนี้ สาวใช้เฉียนเป็นคนมือไม่สะอาดจริงๆ ฉันเองเคยคิดจะไล่เธอออก แต่เธอกลับขอร้องอย่างน่าสงสาร ฉันสงสารที่ครอบครัวของเธอยากลำบาก ตัวเธอก็มีชีวิตที่น่าเศร้า สุดท้ายฉันก็ทนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นยังมีคุณเสิ่นมาขอความเมตตาให้เธอด้วย”
เยวี่ยติ้งถังอดเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณเสิ่น เสิ่นสือชีน่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
เสิ่นสือชีเป็นคนแบบนั้น จะมาขอความเมตตาให้สาวใช้คนหนึ่งได้อย่างไร
อย่าว่าแต่เรื่องที่สาวใช้คนนี้ไม่ได้หน้าตาสะสวยอะไรเลย เธอไม่มีจุดใดที่ดูพิเศษด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่เพราะเหอโย่วอันเป็นคนพูดออกมาเอง เยวี่ยติ้งถังก็คงไม่คิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้ซ่อนอยู่
“ทำไมเสิ่นสือชีถึงต้องขอความเมตตาให้เธอด้วยล่ะครับ”
“เพราะสาวใช้เฉียนคือคนที่เสิ่นสือชีส่งมาจับตาดูฉันค่ะ”
เหอโย่วอันไม่ได้มีสีหน้าตื่นตระหนกแต่อย่างใด เธอสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้า ราวกับไม่ได้ตระหนักว่าตนกำลังพูดสิ่งที่น่าตื่นตระหนกออกมา
แม้แต่เยวี่ยติ้งถังก็ยังอดตกใจไม่ได้
ทว่าเหอโย่วอันกลับหัวเราะ
“ทำไมคุณเยวี่ยต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะคะ เดิมทีฉันก็เป็นของรักของหวงของเสิ่นสือชีอยู่แล้ว มันก็เป็นความจริงที่คนทั่วไปเขารู้กันหมดไม่ใช่เหรอคะ”
“ถ้าอย่างนั้น แล้วเฉินเหวินต้งล่ะ”
เหอโย่วอันเงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันบอกเรื่องภายในที่ฉันรู้ได้แค่ส่วนหนึ่งค่ะ”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ลองบอกมาสิครับ”
“ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเสิ่นสือชี คนมากมายล้วนรู้ดี แต่เสิ่นสือชีมีความปรารถนาจะครอบครองมากเกินไป เขาไม่เพียงแต่อยากได้คนของฉันเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมให้ฉันออกไปจากขอบเขตการควบคุมของเขาด้วย เพราะฉะนั้นสาวใช้เฉียนกับเฉินเหวินต้ง…คนหนึ่งคือสาวใช้ที่คอยดูแลฉันในบ้าน อีกคนคือคนขับรถ นี่คือหน้าที่แค่ในนาม…แต่ที่จริงสองคนนั้นเป็นคนที่เสิ่นสือชีส่งมาจับตาดูฉันทั้งหมดค่ะ
งานของฉันจำเป็นต้องพบปะผู้คนมากมาย ตอนแรกก็คิดว่าเสิ่นสือชีไม่เชื่อใจฉัน แต่ตอนหลังก็พบว่าบางเรื่องเขาไม่สะดวกออกหน้าด้วยตัวเอง ต้องการให้ฉันไปทำแทน เขาก็จะส่งเอกสารบางอย่างมาให้แล้วก็ให้ฉันเอาไปส่งให้คนอื่น เพราะสถานะของฉันมันเพียงพอที่จะปิดบังเอาไว้ได้ ไม่ทำให้คนอื่นสงสัยได้ง่ายๆ และตัวตนของเฉินเหวินต้งกับสาวใช้เฉียนก็จะสามารถรับรองได้ว่าฉันจะไม่ทำอะไรผิดพลาด”
“เอกสารอะไร เสิ่นสือชีไม่ได้เป็นแค่พ่อค้าเหรอครับ”
เหอโย่วอันเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่รู้ค่ะ ฉันเองก็ไม่เคยถาม ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะรู้ดีกว่าฉัน ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ฉันก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ คุณถึงบอกเรื่องพวกนี้กับผมล่ะ”
“เพราะเฉินเหวินต้งหายไปมั้งคะ”
เยวี่ยติ้งถังถามต่อ “เมื่อไหร่ครับ”
“วันนี้ตอนกลางวันเขายังอยู่ แต่หลังจากเกิดเรื่องที่สถานที่ถ่ายทำเขาก็หายไปค่ะ”
“มีอะไรแปลกไปบ้าง”
“พูดตรงๆ เลยนะคะ กระดาษแผ่นนั้นฉันเป็นคนเขียนเองจริงๆ เพราะฉันมองความไม่ชอบมาพากลของเฉินเหวินต้งออกแล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จับตาดูแต่ยังคิดจะฆ่าฉันด้วย ตอนนั้นฉันติดที่ไม่มีหลักฐาน ได้แต่เขียนกระดาษนิรนามแผ่นนั้นไปเตือนพวกคุณให้ระวัง ใครจะรู้ล่ะคะว่าต่อจากนั้นก็มาเกิดอุบัติเหตุในสถานที่ถ่ายทำขึ้น ตอนนั้นคุณเฉิงมาเยี่ยมฉัน เขายืนอยู่ใต้คานที่พังลงมาพอดี หลังจากเขาออกไปไม่นานคานนั้นก็พังลงมา เขาโชคดีมากที่ไม่เป็นอะไรเลย แต่ฉันกับอีกคนหนึ่งกลับได้รับบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยสงสัยว่าเฉินเหวินต้งคือคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังจดหมายขู่พวกนั้น เบื้องหน้าก็ทำเป็นว่าจะลงมือกับฉัน แต่ที่จริงคนที่อยากฆ่าคือคุณเฉิงต่างหาก”
เยวี่ยติ้งถังว่า “ผมไม่เข้าใจ เฉิงกงเป็นคนที่ทำการค้าไปทั่ว ต่อให้เป็นคนค่อนข้างกว้างขวาง รู้จักคนค่อนข้างมาก แต่จะมีอะไรให้เฉินเหวินต้งต้องลงทุนทำขนาดนั้น ถ้าเฉินเหวินต้งอยากจะฆ่าใครจริง เวลาอยู่บนรถคันเดียวกับคุณเฉิงและคุณ เขาแค่หันมายิงพวกคุณให้ตายก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรจะสนใจแล้วล่ะค่ะ ฉันรู้แค่ว่าแผนการของเฉินเหวินต้งมีข้อผิดพลาด เขาลนลานรีบหนีไป ไม่รู้ว่าหายไปไหน คุณเฉิงกำลังสั่งการให้คนไปตามหาร่องรอยของเขาทุกที่ คิดว่าคงต้องตามตัวเขาให้เจอก่อนถึงจะรู้คำตอบค่ะ”
“ไม่ใช่สิ” เยวี่ยติ้งถังไม่ได้หยุดคิดเพราะคำพูดของเธอ “ตอนที่คุณได้รับจดหมายขู่ครั้งแรก น่าจะยังไม่รู้จักคุณเฉิง ถ้าอย่างนั้นการสันนิษฐานว่าเฉินเหวินต้งจะฆ่าคุณเฉิงโดยผ่านทางคุณก็น่าจะฟังดูขัดแย้งกันแล้ว”
“ไม่ขัดแย้งกันเลยสักนิดเดียวค่ะ เป้าหมายในตอนแรกของเฉินเหวินต้งคือคุณเสิ่น ตอนหลังถึงเปลี่ยนมาเป็นคุณเฉิง ถ้าเขาคิดจะฆ่าเสิ่นสือชีกับเฉิงกงน่ะง่ายมาก แต่การที่จะไม่ให้คนอื่นมาสงสัยตัวเขาน่ะยาก เขาจึงต้องทำอะไรอ้อมๆ แบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงเหมือนอย่างที่คุณว่า ฉันก็แค่นักแสดงคนหนึ่ง จะตายก็ตายไป คงไม่ใช่เรื่องที่ใครต้องมาเปลืองแรงอย่างนี้หรอกค่ะ”
เหอโย่วอันส่ายหน้า คล้ายกำลังทอดถอนใจในความเลวร้ายนี้
“คุณเยวี่ยคะ ฉันรู้ว่าคุณกับคุณหลิงสองคนวิ่งวุ่นกับเรื่องของฉันมาโดยตลอด ฉันเองก็รู้สึกผิด รางวัลตอบแทนที่ควรให้ กลับไปฉันจะให้พวกคุณอย่างไม่ขาดไปแม้แต่เฟินเดียวค่ะ ส่วนเรื่องนี้ ในเมื่อตอนนี้คุณเฉิงก็รู้แล้ว เฉินเหวินต้งก็คงจะลงมือกับฉันไม่ได้อีก ก็คงจะหยุดลงเท่านี้ พวกคุณสองคนก็ไม่ต้องตามสืบต่อแล้วล่ะค่ะ”
เยวี่ยติ้งถังถาม “เรื่องพวกนี้ที่คุณพูดมา คุณเฉิงเป็นคนบอกคุณทั้งหมดเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ หลังจากคุณเฉิงรู้ว่าฉันถูกรบกวนด้วยจดหมายข่มขู่พวกนั้น ก็เริ่มส่งคนมาสืบ สุดท้ายสืบไปถึงตัวเฉินเหวินต้ง เฉินเหวินต้งถึงได้ร้อนรนขึ้นมาแล้วก็วางแผนให้เกิดอุบัติเหตุในสถานที่ถ่ายทำ ก่อนหน้านี้เขาถึงกับคิดจะโจมตีรถของคุณเฉิงระหว่างทางด้วยซ้ำ โชคดีที่คุณเฉิงระวังตัว จึงไม่ได้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น”
เยวี่ยติ้งถังเหมือนมีอะไรในใจ
“ดูท่าคุณเฉิงจะดีกับคุณจริงๆ นะครับ ตอนแรกที่เห็นคุณอยู่กับเขา หลิงซูยังสงสารคุณอยู่พักหนึ่ง”
เหอโย่วอันยิ้มขื่น “คนอย่างฉันจะมีอิสระในการเลือกอย่างแท้จริงได้อย่างไรกันล่ะคะ ได้เจอคุณเฉิงนี่ก็ถือเป็นความโชคดีของฉันแล้ว คุณหลิงดีกับฉันมากจริงๆ ฉันทราบดีค่ะ คนมากมายชื่นชอบฉันเพราะว่าหน้าตาของฉัน ชื่อเสียงของฉัน แต่คุณหลิงปฏิบัติต่อฉันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งจริงๆ เคารพฉันอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ทั้งยังคิดเผื่อฉัน เวลาพูดคุยกับเขาฉันก็มักรู้สึกอุ่นใจ แต่น่าเสียดาย ฉันเป็นเพียงนักแสดงหลักลอย ไม่คู่ควรกับเพื่อนดีๆ อย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันรบกวนคุณไปขอโทษคุณหลิงแทนฉันหน่อยนะคะ ตั้งแต่วันนี้ไปขอให้เขาอย่ามาสนใจเรื่องของฉันอีกเลยค่ะ”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเย็น “คำพูดนี้ของคุณ ถ้าเขาได้ยินก็คงจะมาช่วยคุณหาตัวคนร้ายแน่ๆ ครับ ไม่มีทางปล่อยไปโดยไม่สนใจไยดีหรอก”
เหอโย่วอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะค่ะ บอกแค่ว่าฉันไม่อยากสืบต่อไปแล้วก็พอ”
ตอนที่เยวี่ยติ้งถังกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย หลิงซูก็หลับสนิทไปนานแล้ว
ไฟยังเปิดสว่างจนแสบตา แต่เขาเอาผ้าห่มมาปิดดวงตาเอาไว้ ศีรษะทั้งหมดซุกอยู่ในผ้าห่ม นอนหลับสบายไปทั้งอย่างนั้น
เยวี่ยติ้งถังเดินเข้าไปดึงมือของหลิงซูที่อยู่ใต้ผ้าห่มให้ออกมานอกเตียงเพื่อไม่ให้เข็มบนหลังมือถูกดึงจนผิดตำแหน่ง
ไม่รู้ว่าหลิงซูกำลังฝันถึงอะไร มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ดูใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ในโลก
อุณหภูมิที่ส่งมาจากหน้าผากนั้นยังค่อนข้างสูง แต่หากเทียบกับก่อนหน้านี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาก อีกสักสองวันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้
แต่ก่อนอื่นคือหลิงซูต้องไม่ทรมานตัวเองแบบนี้อีกน่ะนะ
เยวี่ยติ้งถังรู้สึกว่าด้วยนิสัยของหลิงซูแล้วไม่มีทางที่จะไม่ไปหาเหอโยว่อันเพื่อถามหาความจริงแน่ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพบกับคุณเฉิงแล้วกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้นอีก เยวี่ยติ้งถังจึงตัดสินใจนอนค้างที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าอีกฝ่ายไว้
บางครั้งเยวี่ยติ้งถังก็มักจะรู้สึกไปเองว่าตัวเองเหมือนมีลูกชายหลอกๆ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งเสียเฉยๆ แล้วยังเป็นลูกชายประเภทที่ชวนให้วุ่นวายใจเป็นพิเศษด้วย
เยวี่ยติ้งถังโอบกอดความคิดอันชวนให้จนใจเช่นนี้แล้วก็พิงพนักเก้าอี้ ค่อยๆ หลับไปอย่างไม่สบายตัวนัก
หลังจากเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันซึ่งแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแสนแปลกประหลาดทั้งคืน เยวี่ยติ้งถังก็ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้ามาแล้ว
เยวี่ยติ้งถังพบว่าตนกำลังนอนราบอยู่บนเตียง บนตัวเขามีผ้าห่มคลุมอยู่
ชุดสูทตัวนอกตัวในยังอยู่ครบ ขาดไปก็แต่รองเท้ากับหลิงซูที่เดิมควรจะนอนอยู่ตรงนี้
หลิงซูไม่อยู่แล้ว
เยวี่ยติ้งถังนวดหน้าผาก เขาอยากให้ตัวเองรู้สึกตื่นกว่านี้สักหน่อย
เวลานี้เองประตูห้องก็เปิดออก หลิงซูเดินสบายๆ เข้ามา บนตัวของอีกฝ่ายสวมเสื้อโค้ตของเขาอยู่ ท่อนล่างยังสวมชุดผู้ป่วยอยู่เลย
“อ้าว เหล่าเยวี่ย ตื่นแล้วเหรอ”
ยังจะมาทักทายอีก ทำเสียอย่างกับเยวี่ยติ้งถังเป็นผู้ป่วยอย่างนั้นล่ะ
“…นายไปไหนมา”
“ซื้อข้าวเช้าไง!” หลิงซูชูน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ในมือตัวเองขึ้นมา “อุตส่าห์เห็นแก่ที่นายเฝ้าฉันทั้งคืน น่าจะหิว ถ้านายตื่นขึ้นมาจะได้กินข้าวเช้าเลยไงล่ะ”
“ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ แต่นายยังจำได้หรือเปล่าว่าตัวเองป่วยยังไงบ้างน่ะ”
หลิงซูทำท่าแปลกใจ “ก็เป็นไข้ไง ทำไม นายหลับไปตื่นหนึ่งแล้วความจำเสื่อมเหรอ”
เยวี่ยติ้งถังหายใจเข้าลึก เขาพบว่าเจ้าคนแซ่หลิงน่ะตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีพรสวรรค์ในการทำให้คนอื่นโมโหแบบไม่ห่วงชีวิตตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
“ในเมื่อยังจำได้ นายก็น่าจะรู้ว่าถ้ายังไม่หายป่วยแล้วออกไปโดนลมจะทำให้ป่วยหนักขึ้นนะ”
“ขอบพระคุณหัวหน้าเยวี่ยที่เอาใจใส่กระผมครับ ฉันหายดีแล้วน่า นี่นายรู้หรือเปล่าว่า…” หลิงซูโน้มตัวเข้ามาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “เกิดเรื่องใหญ่แล้วนะ!”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยรับ “เฉินเหวินต้งฆ่าคนแล้วก็หนีไป เหอโย่วอันบอกนายอย่างนั้นใช่ไหม”
หลิงซูนิ่งงัน “เฉินเหวินต้งหายไปงั้นเหรอ เหอโย่วอันพูดอะไร ฉันยังไม่ได้เยี่ยมเธอเลย ไม่มีของเยี่ยมก็เลยกระดากใจที่จะไปน่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปดูเธอหน่อยดีกว่า”
เยวี่ยติ้งถัง…เขาไม่ควรจะปากไวแบบนั้นเลย
“งั้นเรื่องใหญ่ที่นายว่าคืออะไร”
หลิงซูตอบว่า “เสิ่นสือชีตายแล้ว!”