ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 63-64 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 63-64 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 64

“คุณเจียง คุณมาทำอะไร”

“ผมมาเยี่ยมไข้” เจียงเหอถอดหมวกจากนั้นก็วางไว้ข้างๆ “ดูคุณไม่ค่อยยินดีต้อนรับผมเลยนะ”

หลิงซูยิ้มเสแสร้ง “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ แต่คนอื่นเขามาเยี่ยมไข้ก็มักจะเอาของเยี่ยมมาด้วย คุณมามือเปล่า ดูไม่เหมือนมาเยี่ยมไข้เลย”

“ผมมีเหตุผล พอดีรีบ ก็เลยลืม” เจียงเหอคิดครู่หนึ่งก่อนล้วงเอาเงินดอลลาร์สหรัฐปึกเล็กๆ ออกมาวางบนโต๊ะ “ถือว่าเป็นความเคารพจากผมแล้วกัน รับไว้เถอะ”

คนคนนี้เป็นคนมือใหญ่ใจกว้างจริงๆ

หลิงซูยกนิ้วโป้ง ชื่นชมอย่างเปิดเผย “สาแก่ใจดีแท้!”

คนเราไม่มีเรื่องก็คงไม่ไปไหว้พระ เขายังไม่เชื่อว่าเจียงเหอจะมาเพียงแค่เยี่ยมไข้เขาเฉยๆ แต่อีกฝ่ายไม่เอ่ยปากก่อน หลิงซูก็ไม่ถาม

เจียงเหอเดินวนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยรอบหนึ่ง เขาก้าวไปถึงริมหน้าต่าง ซ่อนตัวเอาไว้หลังผ้าม่านครึ่งหนึ่งแล้วก็มองลงไปด้านล่าง

หลิงซูคิดว่าบางครั้งตนมองเห็นความเคยชินและคมดาบคมมีดที่ผ่านมาของเจียงเหอในกิริยาเหล่านั้นของอีกฝ่าย

หากคนทั่วไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก็คงเพียงแค่มองออกไปกว้างๆ คงจะไม่ซ่อนตัวอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนพร้อมจะเร้นกายอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ ศัตรูอยู่ที่มืดฉันอยู่ที่สว่าง เหมาะแก่การลอบทำร้าย

มีแต่คนที่คมดาบเปื้อนเลือดบ่อยครั้งเท่านั้นที่จะเคยชินกับการเร้นกายในความมืด มีแต่คนประเภทนั้นที่จะระวังภัยอยู่ตลอดเวลาแบบนี้

เจียงเหอคล้ายรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองเขาอยู่ด้านหลังจึงหันกลับไป

หลิงซูกำลังนั่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียง พร้อมนับเงินดอลลาร์ปึกนั้น

เจียงเหอ “…”

เขาไม่เคยเห็นคนที่ยืดอกทำตัวไม่เกรงใจอย่างเปิดเผยแบบหลิงซูมาก่อน

แน่นอน เขายังไม่เคยเห็นใครเป็นฝ่ายปรี่เข้าไปเอาตัวคลุกคลีกับเรื่องไม่ดีตามชาวบ้านชาวช่อง อย่างที่ช่วยเขาหนีจากการไล่ฆ่าเพียงเพื่อจะสืบคดีด้วย

“ดูเหมือนคุณจะไม่สงสัยเลยนะว่าผมมาทำอะไร” เจียงเหอว่า

“ก็มาเยี่ยมผมไม่ใช่เหรอ” หลิงซูชูเงินในมือ “น้ำใจนี้ผมรับเอาไว้แล้วนะ บนโต๊ะมีแอปเปิ้ล ตามสบายเลย”

“นอกจากเงินดอลลาร์นั่นแล้ว ผมยังเอาข่าวสำคัญข่าวหนึ่งมาบอกคุณด้วย คุณต้องสนใจแน่”

หลิงซูไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ขอทราบรายละเอียด”

“เฉินโหย่วหวาตายแล้ว”

หลิงซูเงยหน้า ดูตกใจ “อะไรนะ!”

เจียงเหอว่า “คุณดูประหลาดใจมาก”

“แล้วทำไมผมจะไม่ประหลาดใจล่ะ”

“ผมคิดว่าคุณรู้นานแล้ว”

ตีให้ตายอย่างไรหลิงซูก็คงไม่ยอมบอกอีกฝ่ายหรอกว่าตัวเองน่ะไม่เพียงแต่ได้เห็นเฉินโหย่วหวาโดนฆ่ามากับตาตัวเอง แต่ยังเอาของบางอย่างมาจากตัวของเฉินโหย่วหวาด้วย

“ผมก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วสิ ต้องขอบคุณที่คุณบอกผม! ถ้าอย่างนั้นก็แย่แล้วล่ะ เบาะแสอย่างหนึ่งขาดไปเสียแล้ว ถ้าอยากจะสืบว่าเหอโย่วอันโกหกหรือเปล่า ก็คงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสืบได้ความ”

เจียงเหอเอาเอกสารซองหนึ่งออกมาจากในเสื้อโค้ต เขาโยนมันลงบนเตียง

“นี่คือข้อมูลของเฉินโหย่วหวา คุณอาจจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้”

หลิงซูเปิดซองดึงเอกสารออกมา เขาพลิกดูเล็กน้อย

เอกสารในนั้นบันทึกคดีตอนที่เฉินโหย่วหวาทำงานในบริษัทหนังสือพิมพ์กับประสบการณ์ที่ผ่านมาเล็กน้อย มีประโยชน์จริงๆ ด้วย

“ขอบคุณนะ!”

หลิงซูโยนกล่องเครื่องประดับที่เมื่อครู่ไม่ทันได้เปิดดูไปให้เจียงเหอ

เจียงเหอรับไว้ เขาทำหน้าสงสัย

หลิงซูว่า “เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ นี่คือของขวัญตอบแทนของผม”

เจียงเหอขมวดคิ้ว

ที่เขาเอาเอกสารชุดนี้มาให้หลิงซูก็เพื่อตอบแทนน้ำใจในคืนนั้น

บุญคุณที่ช่วยชีวิต จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เจียงเหอไม่ชอบติดค้างหนี้น้ำใจใคร ถ้าคืนได้เขาก็ต้องคืนเสมอ แต่คนอย่างหลิงซูก็น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ เพราะคนที่จืดชืดน่าเบื่อมากๆ ก็คงจะไม่เลือกหนีตายไปกับเขาตลอดทางอย่างนั้นหรอก

เจียงเหอเปิดกล่องเครื่องประดับ สีหน้าดูแปลกประหลาดทันที

“คุณให้ไอ้นี่ผมเหรอ”

“หือ?”

หลิงซูไม่อยากจะเปิดดูข้อมูลต่อหน้าอีกฝ่ายจึงเก็บเอกสารกลับเข้าซอง เขาเงยหน้า แล้วก็เห็นเจียงเหอหันกล่องเครื่องประดับมา

แหวนเพชรวงหนึ่งเด่นสะดุดตา

หลิงซู “…”

เจินฉงอวิ๋นคงจะไม่ให้แหวนหมั้นเขาหรอกใช่ไหม!

สตรีที่ยากคาดเดามีนับพันนับหมื่น คุณหนูเจินคนนี้คงจะถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่หญิงสาวเหล่านั้น

หลิงซูพบเจอผู้หญิงที่หลงใหลในตัวเขามามาก แต่น้อยนักที่จะพบเจอคนอย่างเจินฉงอวิ๋นคนนี้ เธอใช้เขาเป็นเกราะกำบังลูกธนู แต่ที่จริงกลับมีจุดประสงค์อื่น

ผู้ชายมีภรรยาแล้วที่เธอไปหลงรักนั้นเป็นใครกันแน่ ผู้ชายที่ทำให้เจินฉงอวิ๋นถูกตาต้องใจได้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตมีอำนาจบาตรใหญ่ตำแหน่งสูงส่งก็ได้ แต่คนใหญ่คนโตอย่างนั้นจะมาเสี่ยงให้ชื่อเสียงพังพินาศโดยการไปจีบคุณหนูลูกเศรษฐีที่มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วได้อย่างไร

ผู้หญิงคนนี้ทิ้งแหวนเอาไว้ที่เขา หรือว่าจะคิดหนีการแต่งงานจริงๆ ผู้ชายที่เธอชอบคนนั้นจะไปกับเธอด้วยงั้นเหรอ

แหวนของเจินฉงอวิ๋นย่อมไม่ใช่ของห่วยๆ อยู่แล้ว ประกายของเพชรนั้นวิบวับจับตา สว่างจ้าจนหลิงซูต้องกะพริบตาด้วยความทนไม่ไหว หากดูจากการออกแบบแหวนแล้ว น่าจะเป็นฝีมือของนักออกแบบที่มาจากต่างประเทศ

แหวนที่ราคาไม่น้อยเช่นนี้ คุณหนูเจินนึกจะไม่เอาก็ไม่เอา เธอโยนมาให้เขาเหมือนเผือกร้อนลวกมืออย่างไรอย่างนั้น

“บุปผาโปรยมีใจ ธาราไหลไร้รัก ผมไม่ชอบผู้ชาย แหวนวงนี้คุณเอาไปให้คนอื่นเถอะ”

เจียงเหอเอ่ยอย่างเย็นชา พร้อมวางกล่องนั้นลง

หลิงซู “…”

แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่เข้าใจว่าเจินฉงอวิ๋นให้แหวนวงนี้มาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่หลิงซูก็รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน สมองของเขาถึงกับมีคำต่างๆ ผุดขึ้นมามากมายด้วยซ้ำ อย่างเช่นคำว่ารับเคราะห์แทน หรือว่าเรียกร้องความสนใจทางหนึ่งเพื่อโจมตีอีกทางหนึ่ง

เขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นเจ้าคนดวงซวยคนนั้นเลยสักนิด

ขณะกำลังคิดแต่งเรื่องราวอันน่าซาบซึ้งใจอย่างที่สุดเพื่อมาโน้มน้าวให้เจียงเหอรับแหวนวงนั้น ให้เขากลายเป็นแพะรับบาปตัวใหม่ ก็มีคนผลักประตูเข้ามา

หลิงซูกับเจียงเหอแทบจะหันไปมองที่ประตูพร้อมๆ กันทันที

ในสายตาของเยวี่ยติ้งถัง เขาเห็นคนหนึ่งนั่งพิงหัวเตียงอยู่ อีกคนยืนอยู่ข้างเตียง ในมือเปิดกล่องเครื่องประดับยื่นให้อีกฝ่ายครึ่งๆ กลางๆ

เยวี่ยติ้งถัง “…”

หลิงซู เจียงเหอ “…”

เยวี่ยติ้งถังเงียบไปครู่หนึ่ง

“ผมต้องออกไปจากที่นี่สักสองสามนาทีเพื่อให้เวลาพวกคุณอยู่กันเป็นการส่วนตัวไหม”

“ไม่ต้อง” คนที่ตอบคือเจียงเหอ เขายัดกล่องเครื่องประดับใส่มือหลิงซู “ผมไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน!”

เจียงเหอได้ยินที่หลิงซูเรียกเขาเอาไว้แต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เขาก้าวยาวๆ หายลับประตูไปอย่างรวดเร็ว

เยวี่ยติ้งถังถาม “ในกล่องมีอะไร”

หลิงซูตอบอย่างมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง “แหวนเพชร”

เยวี่ยติ้งถังมีสีหน้าแปลกประหลาดเหมือนกับเจียงเหอเมื่อครู่ไม่มีผิด

“ไม่คิดเลยนะว่านายจะโปรยเสน่ห์ใส่ผู้ชายแล้วด้วย”

“ไม่ใช่นะ ฉันเปล่า เหลวไหลทั้งเพ แหวนวงนี้ของเจินฉงอวิ๋นต่างหาก”

เยวี่ยติ้งถังขมวดคิ้ว “เจินฉงอวิ๋น? เธอมาทำไม”

หลิงซูเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง

“นายรู้หรือเปล่าว่าผู้ชายมีภรรยาแล้วที่เธอชอบคือใคร”

เยวี่ยติ้งถังว่า “ไม่แน่ใจ บ้านฉันกับสกุลเจินไม่เคยไปมาหาสู่สนิทสนมกัน แค่เจอหน้าทักทายกันเท่านั้น ที่พี่สามแนะนำเธอให้ฉันก็มาจากการแนะนำของคนอื่นอีกต่อหนึ่ง พี่สามก็แค่ไม่สะดวกใจจะปฏิเสธเท่านั้นเอง”

หลิงซูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ก็ต้องขอบคุณที่นายไม่ถูกใจเธอล่ะนะ ถ้านายไปชอบคุณหนูเจินคนนี้เข้าล่ะก็ เดี๋ยวเธอก็คงจะสวมเขาให้นายแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นนายจะทำยังไง”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนนี้ดูเหมือนคนที่เธอสวมเขาให้จะเป็นนายนะ”

หลิงซูสำลัก

“เรามาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ เจียงเหอเอาข้อมูลหนึ่งมาบอก เกี่ยวกับเฉินโหย่วหวา”

เหมือนง่วงแล้วมีคนเอาหมอนมาให้ อย่างไรอย่างนั้น

ที่เยวี่ยติ้งถังไปแล้วกลับมาใหม่ก็เพราะอยากให้หลิงซูไปคุยกับเจียงเหอ สอบถามเรื่องของเฉินโหย่วหวา

แต่ไม่คิดว่าเจียงเหอจะเป็นฝ่ายมาหาเอง

“เขารู้ว่าเฉินโหย่วหวาตายแล้ว?”

“รู้”

“ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะไม่สงสัยนายหรอกใช่ไหม”

หลิงซูย้อนนึกดูแล้วก็ส่ายหน้า

“เขาถามแล้วล่ะ แต่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น ที่เขามาวันนี้หลังจากรู้ข่าวการตายของเฉินโหย่วหวาแล้ว เพราะรู้ว่าฉันกำลังสืบคดีเหอโย่วอันอยู่ ก็เลยไม่อยากติดหนี้น้ำใจฉันน่ะ”

เยวี่ยติ้งถังดึงเอกสารข้อมูลปึกหนึ่งออกมา เขาพลิกดูเล็กน้อยแล้วก็อดเลิกคิ้วไม่ได้

“เจียงเหอนี่ก็เก่งอยู่เหมือนกันแฮะ”

หลายๆ อย่างหากสืบไปด้วยวิธีบนดินปกติก็อาจจะสืบไม่ได้ แต่เจียงเหอนั้นต่างออกไป คนที่อยู่ในมือของเขานั้นก็เหมือนกับสมาชิกสมาคมชิงปังที่มีอยู่ในทุกสาขาอาชีพทั่วนครเซี่ยงไฮ้อันกว้างใหญ่ โดยเฉพาะที่ท่าเรือ บ่อนพนัน โรงเต้นรำ โรงรับจำนำ สถานที่เหล่านี้มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน จะยิ่งช่วยให้สืบหาข่าวต่างๆ ได้ง่ายดายที่สุด

บางทีลู่ถงชางอาจจะคิดว่าแขนขาของตัวเองคนนี้แข็งแกร่งเกินไป ตัวเขาเองอาจจะควบคุมไม่อยู่ จึงได้คิดจะฆ่าเสีย

“เฉินโหย่วหวาไม่ใช่ชื่อของเขาจริงๆ ชื่อจริงของเฉินโหย่วหวาคือเฉิงเฟิง เป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีอยู่ที่โรงเรียนมัธยมซั่งไห่จิ่วอิง ตอนหลังเขาเอื่อยเฉื่อยไม่ก้าวหน้า เมื่อเกิดเหตุทะเลาะเบาะแว้งกับอาจารย์คนอื่นๆ จึงถูกเชิญออกไป หลังจากนั้นก็ไปทำงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์ เปลี่ยนชื่อเป็นเฉินโหย่วหวา จนกระทั่งมาโดนไล่ฆ่าแล้วก็หายตัวไป”

“แล้วคนในครอบครัวของเขาล่ะ”

“ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยม ในประวัติเขียนเอาไว้ว่าเขาเป็นคนเมืองจี๋อัน มณฑลเจียงซี พ่อแม่ของเขามีลูกคนเดียวคือตัวเขาเอง เขายังไม่แต่งงาน การศึกษาจบชั้นมัธยมศึกษา แต่ไม่ได้บอกละเอียดว่าจบจากโรงเรียนอะไร ตอนที่เข้ามาทำงานอาจารย์ต้องสัมภาษณ์ เขาคงจะสัมภาษณ์ผ่าน ไม่อย่างนั้นก็คงจะเป็นอาจารย์ไม่ได้ แต่คนคนนี้ก็คงจะมีปัญหาแน่ๆ ปกติแล้วถ้าจะสมัครงาน เขียนประวัติละเอียดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่เฉินโหย่วหวากลับทำอีกอย่าง นี่คือหนึ่งในจุดที่แปลก

นอกจากนี้แล้วจากที่เพื่อนอาจารย์ในโรงเรียนนั้นบอกมา เฉินโหย่วหวาจะพูดถึงคนในครอบครัวของตัวเองน้อยมากเวลาอยู่โรงเรียน นิสัยก็รักสันโดษไม่ชอบอยู่รวมกลุ่มกับคนอื่น แต่พอเขาไปทำงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์กลับกลายเป็นคนที่ใจดีกับคนอื่น หน้าตาเป็นมิตรสนิทสนมได้ง่าย นายดูสิ เพื่อนร่วมงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์ประเมินเขาเอาไว้ดีมาก บอกว่าเฉินโหย่วหวาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ใจดี เป็นคนดีคนหนึ่ง นิสัยที่แตกต่างกันคนละขั้วแบบนี้ทำไมถึงปรากฏขึ้นในคนคนเดียวกันได้ล่ะ

ถ้าเฉินโหย่วหวาคือเฉิงเฟิงจริงๆ ก็มีคำอธิบายแค่อย่างเดียวแล้วล่ะ นั่นก็คือลักษณะนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเขาจงใจแกล้งทำ หรือไม่อย่างนั้น ความรักสันโดษกับความเป็นมิตรมองโลกในแง่ดีของเขาก็เป็นสิ่งที่เสแสร้งขึ้นทั้งหมด ไม่มีใครรู้นิสัยที่แท้จริงของเขา แล้วก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขาก็เหมือนกับปริศนา มาตอนนี้เขาตายไปแล้ว ก็มีแต่จะต้องตามหาคนที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น หรือไม่แน่ แม้แต่ชื่อเฉิงเฟิงก็อาจจะเป็นชื่อปลอมก็ได้”

เยวี่ยติ้งถังจมอยู่ในห้วงความคิด

หลิงซูเองก็ต้องการเวลาสำหรับจัดการความคิดเช่นกัน

ในเมื่อเจียงเหอเอาข้อมูลนี้มาตอบแทนน้ำใจของเขา ความน่าเชื่อถือของมันก็น่าจะมีไม่น้อยกว่าแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

“นายก็เลยสงสัยร้านหนังสือหมิงเต๋อ?” เยวี่ยติ้งถังถามขึ้นกะทันหัน

“ใช่ เจียงเหอกับฉันคาดเดาไว้ก่อนแล้ว เขาก็ให้คนสืบไปถึงร้านหนังสือหมิงเต๋อนั่นเหมือนกัน แล้วก็บังเอิญมากที่หลังจากเฉินโหย่วหวาตาย ฉันกลับมาจากหางโจว คืนนั้นร้านหนังสือหมิงเต๋อก็ปิดร้าน ที่หน้าประตูแปะประกาศเอาไว้ว่าเจ้าของร้านไปที่อื่น กำหนดกลับยังไม่แน่นอน ขอให้ลูกค้าเปลี่ยนไปอุดหนุนร้านอื่น”

แม้ว่าอย่างนี้จะเท่ากับร้านหนังสือหมิงเต๋อก็มีปัญหาบางอย่างเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจสืบไปตามเส้นทางนี้ต่อได้อีกแล้ว

หลังจากวกไปวนมา ก็ยังคงเหลือเหอโย่วอันเพียงคนเดียว

เบาะแสทั้งหมดอยู่ที่ตัวเหอโย่วอันแค่คนเดียวเท่านั้น

“จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเหอโย่วอันถึงต้องไหว้วานให้พวกเราสืบเรื่องจดหมายขู่ ถ้าทุกอย่างนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเธอเอง เธอทำแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้เรื่องที่ไม่มีคนสนใจอะไรตั้งแต่แรก กลับดึงให้พวกเราสนใจขึ้นมา”

“มีความเป็นไปได้สองอย่าง” เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “หนึ่งคือเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเหอโย่วอัน เธอไม่รู้ว่าเสิ่นสือชีอยากจะฆ่าเฉินโหย่วหวา แล้วก็ไม่รู้ว่าเฉินโหย่วหวาหลบหนีจากการลอบฆ่าไปได้ ทั้งคู่ปรากฏตัวขึ้นต่อเนื่องกันที่ร้านหนังสือแห่งนั้นเพราะความบังเอิญล้วนๆ”

“…”

“ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเธอกับเฉินโหย่วหวาเป็นพวกเดียวกัน เธอดึงพวกเราเข้าไปเกี่ยวเพราะคิดว่าอาจจะลากพวกเราให้ซวยไปด้วยได้ถ้าถึงเวลาจำเป็น พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คงต้องบอกว่าผลักไสภาระบางอย่างให้มาอยู่บนหัวพวกเรา”

หลิงซูกล่าว “ฉันว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ภาพจำที่นายมีต่อเธอมันห่างไกลจากจุดที่ควรจะเป็นกลางไปมากแล้ว”

หลิงซูเอ่ยอย่างใสซื่อ “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าภาพจำที่นายมีต่อเธอมันดูมีอคตินะ”

“นายเคยพูดเองนี่ว่าถ้าเอาความบังเอิญทุกอย่างมารวมกัน มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว ตอนที่เฉินโหย่วหวาไปร้านหนังสือหมิงเต๋อ ทำไมเธอถึงได้ไปที่หางโจวพอดี แล้วหางโจวก็ใหญ่ออกขนาดนั้น ทำไมเธอต้องเลือกไปที่หมิงเต๋อด้วยล่ะ”

หลิงซูว่า “เฉินเหวินต้งอยากจะฆ่าฉัน กระดาษแผ่นนั้นเดิมทีเธอจะไม่ส่งมาก็ได้ แสดงว่าเธอก็ยังประสงค์ดีกับพวกเราอยู่บ้าง”

“นายใสซื่อเกินไป”

“เหล่าเยวี่ย ถึงจะบอกว่านิสัยคนเราอาจจะไม่ได้มีพื้นเพที่เป็นคนดีเสมอไป แต่จนถึงตอนนี้เหอโย่วอันก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายพวกเราเลยนะ ฉันคิดว่าเรื่องนี้เราน่าจะยังสืบหาเบาะแสจากตัวเธอได้อีกหน่อย”

“ไหนลองว่ามาซิ”

“ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เฉินโหย่วหวาต้องมีพวกอีกแน่ ถ้าเขาเป็นคนฆ่าเสิ่นสือชีจริง พวกพ้องของเฉินโหย่วหวาน่ะอาจจะลงมือกับเหอโย่วอันก็ได้ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปเตือนเหอโย่วอัน ดูซิว่าเธอจะมีปฏิกิริยายังไง”

เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “ถ้าเธอไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ”

“เรื่องมองคนน่ะ ฉันมั่นใจเสมอแหละ”

ประโยคนี้เพิ่งจะพูดออกไปไม่กี่นาที หลิงซูก็เริ่มจะเสียใจเสียแล้ว

เขายืนอยู่นอกห้องพักฟื้นของเหอโย่วอัน ยืนจ้องตาอยู่กับบอดี้การ์ดสองคน

ในห้องมีเสียงความเคลื่อนไหวเหมือนกำลังย้ายของ ฟังดูเหมือนเหอโย่วอันไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ประตูปิดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย คนที่เฝ้าประตูก็ไม่ยอมรายงานคนข้างใน หลิงซูได้แต่ยืนเสียเวลาอยู่ตรงนั้นต่อไป

จนกระทั่งนางพยาบาลมาเปลี่ยนยา เคาะประตูและเปิดประตู หลิงซูจึงใช้โอกาสนี้ตะโกน

“คุณเหอ ผมหลิงซูครับ ผมมาเยี่ยมคุณ!”

“ไอ้เวรนี่!”

“ทำอะไรน่ะ!”

บอดี้การ์ดสองคนโกรธใหญ่ พวกเขาเข้ามาหิ้วตัวหลิงซูทั้งซ้ายขวาเพื่อจะโยนออกไป โชคดีที่เหอโย่วอันได้ยินเข้าพอดี

“คุณหลิงเหรอคะ เชิญค่ะ”

หลิงซูผ่อนลมหายใจ เขารีบผลุบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งของบอดี้การ์ด

แต่เมื่อเขาเข้าไปแล้วจึงพบว่าในห้องนั้นมีกระเป๋าสัมภาระใบโตวางอยู่สองใบ คนรับใช้สองคนกำลังช่วยเหอโย่วอันเก็บข้าวของวุ่นวาย ของบางส่วนต้องรอให้เธอบอกว่าจะทิ้งหรือจะเก็บเอาไว้

“คุณเหอ จะเดินทางไกลหรือครับ”

“ใช่ค่ะ อีกไม่นานฉันจะไปจากเซี่ยงไฮ้แล้วล่ะค่ะ”

“ไปไหนครับ” หลิงซูถามทันที

“ยังไม่แน่นอนเลยค่ะ อาจจะเป็นฮ่องกงหรือต่างประเทศ คงเดินทางไปเรื่อยๆ ผ่อนคลายจิตใจน่ะค่ะ”

ไม่พบกันหลายวัน เหอโย่วอันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และความเปลี่ยนแปลงนี้ยากที่จะพูดออกมาได้ชัดเจนด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำ

เหอโย่วอันก็ยังคงเป็นเหอโย่วอันคนนั้น หน้าตางดงามดังเดิม เรียบร้อยสุขุมดังเดิม

ถ้าบอกว่าเหอโย่วอันเมื่อก่อนนี้เหมือนกับดอกไม้ละลานตาที่กิ่งห้อยระย้าลงในธารน้ำ ดูงดงามสดใสและอ่อนโยน ดอกไม้ร่วงลงธาราไร้ที่พึ่งพิง บัดนี้เธอกลับเหมือนก้อนหินกลางกระแสธาร ไม่ว่าน้ำจะไหลเรื่อยผ่านข้างกายไปมากมายสักกี่ครั้ง ก้อนหินก็จะกักกั้นสายน้ำท่ามกลางจันทร์เต็มดวง เงาทอดกายแน่นิ่งแข็งแกร่ง ไม่เคยขยับไหว

ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ช่างเล็กน้อยยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะหลิงซูไม่พบเธอหลายวันและสังเกตเธอเป็นพิเศษล่ะก็ เขาก็คงจะไม่รู้สึกถึงมันอย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นคนที่หยาบกระด้างสักหน่อยก็คงจะไม่สังเกตเห็นเช่นกัน

“ทำไมถึงกะทันหันอย่างนี้ล่ะครับ คุณถ่ายหนังไปครึ่งเดียวเองไม่ใช่เหรอ” หลิงซูว่า

เหอโย่วอันชี้ผ้าพันแผลบนศีรษะตัวเอง

“คุณดูสิคะ ฉันเป็นอย่างนี้ยังจะถ่ายต่อได้อีกเหรอ หนังเรื่องนี้คงจะถ่ายไม่จบเสียแล้วล่ะค่ะ คงต้องเปลี่ยนตัวกะทันหัน คุณเฉิงกลัวว่าฉันจะหดหู่ก็เลยให้ฉันไปเที่ยวให้ทั่ว อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ฉันน่ะอยู่เซี่ยงไฮ้มานานพอแล้ว ควรจะออกไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นบ้าง”

“อย่างนี้ก็ดีครับ แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะครับ”

“ภายในสองวันนี้ค่ะ”

หลิงซูประหลาดใจมาก

“รีบร้อนขนาดนี้เชียวเหรอครับ อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หายดีเลย น่าจะต้องพักฟื้นอีกหน่อยนะครับ”

เหอโย่วอันยิ้ม “ไปพักผ่อนบนเรือกลไฟก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ คุณเฉิงพาหมอประจำตัวไปด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็คงจะรักษาฉันได้ทันท่วงที”

“แต่…เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ก็คงไม่เพียบพร้อมสะดวกสบายเหมือนที่โรงพยาบาลนะครับ”

“ก็พอใช้ได้อยู่ค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แค่ไม่หักโหมแบบตอนถ่ายหนังก็พอ ฉันทนได้ค่ะ”

หลิงซูรู้ในที่สุดว่าความเปลี่ยนแปลงของเหอโย่วอันอยู่ตรงไหน

เธอเย็นชาขึ้น สีหน้าแววตาก็ไม่ได้ดูมีชีวิตชีวาอีกแล้ว

หลิงซูไม่รู้ว่าเธอปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร แต่อย่างน้อยสำหรับเขา เธอก็ไม่ได้ดูอ่อนโยนเข้าถึงง่ายเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก่อนจากกันผมก็มีอะไรอยากจะพูดกับคุณเหอสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ”

เหอโย่วอันมองเขา จากนั้นก็สั่งสาวใช้สองคน “ฉันอยากกินส้มกับเกาลัดคั่วน้ำตาล พวกเธอออกไปซื้อมาให้หน่อยเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บของก็ได้”

รอกระทั่งสาวใช้สองคนออกไป เหอโย่วอันก็หยิบถุงผ้าแพรใบเล็กออกมาจากกระเป๋าถือของตน

“คุณหลิงวางใจเถอะค่ะ เงินตอบแทนที่เคยรับปากเอาไว้ฉันไม่คืนคำแน่นอน นี่คือกุญแจตู้นิรภัยหมายเลข 7708 ของธนาคารฮุ่ยเฟิง ห้าวันให้หลังพวกคุณค่อยไปพบผู้จัดการธนาคารนะคะ เขาจะพาพวกคุณไปถอนเอาของในตู้นี้ออกมา”

“ทำไมต้องอีกห้าวันล่ะครับ”

เหอโย่วอันยิ้ม “ฉันกลัวว่าจะเตรียมให้ไม่ทันน่ะค่ะ เดี๋ยวจะไม่เหมาะสมกับความลำบากของพวกคุณสองคน รออีกสักสองวันให้เงินครบเรียบร้อยหน่อยดีกว่า”

หลิงซูว่า “พูดกันตรงๆ เลยนะครับ ตอนแรกที่ผมสืบคดีนี้ ผมทำเพื่อเงินรางวัลตอบแทนที่คุณเหอรับปากเอาไว้ก็จริง แต่หลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะให้เงินตอบแทนหรือไม่ ที่จริงมันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะครับ”

“ฉันเข้าใจค่ะ ตอนที่คุณช่วยชีวิตฉันที่งานฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ คุณก็คงไม่ได้ทำเพื่อเงินตอบแทนหรอก คุณหลิงเป็นคนจิตใจดีเอื้อเฟื้อ ฉันทราบมาตลอดและก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่นอกจากพวกเงินๆ ทองๆ ฉันก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีของอะไรอีกที่จะใช้แสดงความขอบคุณของฉันได้”

“แล้วถ้าผมอยากได้ความจริงล่ะครับ”

เหอโย่วอันตกใจมาก “ความจริงอะไรคะ”

หลิงซูมองเธอตรงๆ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “เฉินโหย่วหวาตายแล้ว”

เขาคิดว่าคำพูดของตัวเองจะทำให้เหอโย่วอันเปลี่ยนสีหน้าได้บ้าง

แต่ไม่มีเลย เหอโย่วอันยังคงดูงุนงง

“เฉินโหย่วหวาเป็นใครเหรอคะ”

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เสิ่นสือชีก็ตายแล้วเหมือนกัน คุณรู้หรือเปล่าครับ”

“ฉันรู้ค่ะ”

“ใครบอกครับ”

เหอโย่วอันพูด “คุณเฉิงค่ะ เมื่อครู่เขาเพิ่งมา”

“คุณไม่มีอะไรอยากจะพูดเลยเหรอครับ”

เหอโย่วอันถอนหายใจ เธอเผยสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย

“ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะคะ ความสัมพันธ์ของคุณเสิ่นกับฉันผู้คนก็รู้กันทั่ว ไม่ว่าตอนที่เขามีชีวิตอยู่จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยคนตายไปก็เหมือนกับไฟดับมอด ฉันก็ได้แต่แสดงความเสียใจ ได้แต่สวดมนต์อธิษฐานให้เขา ขอให้เขาได้ไปสู่สุคติ ตายตาหลับ”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 22 มี.. 65

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com