ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 67-68 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน คดีลับใต้หมู่ดาว เล่ม 2 บทที่ 67-68 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 67

เฉิงเถียนกง

เมื่อชื่อนี้โผล่ออกมา หลากหลายเรื่องราวก็มีคำอธิบาย

เวลานี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอาณาเขตของคนญี่ปุ่น เพราะเหตุใดคนจีนคนหนึ่งจึงทำการค้าอยู่ที่นั่นได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค เพราะเหตุใดกองทัพกวนตง จึงไว้หน้าเขา ให้เขามาหาผลประโยชน์ที่เซี่ยงไฮ้ได้อย่างเต็มที่ เพราะเหตุใดคนอย่างเสิ่นสือชีที่กร่างไปทั่ว ทั้งยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปฏิบัติต่อเยวี่ยติ้งถังโดยเพิ่มความเกรงใจขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่กลับเกรงอกเกรงใจคุณเฉิงจนเชื่อฟังไปหมดทุกอย่างแบบนั้น

เพราะคุณเฉิงไม่ใช่เฉิงกง แต่คือเฉิงเถียนกง

คนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ทำให้กองทัพกวนตงมองเขาเป็นคนกันเอง ไม่ใช่ทาสที่มานำทางให้เพื่อเอาความดีความชอบ

และมีเพียงเฉิงเถียนกงเท่านั้นที่ทำให้เสิ่นสือชีเหมือนหนูเจอแมว ก้มศีรษะพินอบพิเทาเช่นนั้น

หลิงซูยังจำได้ว่าเยวี่ยติ้งถังเคยพูดเอาไว้อย่างหนึ่ง คือแม้เฉิงกงจะเป็นคนค้าขาย แต่เขามีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์จีนอย่างลึกซึ้ง มักจะพูดถึงที่มาของแซ่ตนเองอยู่บ่อยครั้ง บอกว่าตนเป็นทายาทสายตรงของฮ่องเต้โจวอู่ คนมากมายล้วนรู้ดีว่าคุณเฉิงมีสายเลือดที่สืบทอดมาแต่โบราณ สูงศักดิ์ยิ่งนัก

คนอื่นอาจจะมองคุณเฉิงเป็นเพียงคนค้าขายทั่วไป เขาก็คงจะเกรงว่าสถานะพ่อค้าของตนจะทำให้คนในรัฐบาลดูแคลน ถึงต้องเน้นย้ำที่มาของวงศ์ตระกูลตนเอง แต่หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กันหลายครั้งหลิงซูก็ไม่คิดอย่างนั้น

ตอนนี้มาดูอีกครั้งการคาดเดาของเขาก็เป็นความจริงดังคาด เพียงแต่นี่ไม่ใช่ผลที่หลิงซูอยากให้เป็นเลย

“พี่เฉิน เรื่องมาถึงขั้นนี้ จะเอาปืนจ่อหัวฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เรามานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่า”

“คุยอะไร” เฉินเหวินต้งถามเสียงเย็น

“ต่อรอง” หลิงซูยิ้ม แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้ไม่ได้เปิดไฟ ต่อให้เขายิ้มอย่างเป็นมิตรสักเพียงใดอีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึก

ทั้งที่ก่อนนอนเขาเปิดไฟเอาไว้แท้ๆ คิดว่าตอนเฉินเหวินต้งเข้ามาคงจะปิดไฟไปนั่นล่ะ

“อย่าขยับ!”

เฉินเหวินต้งเห็นเขายื่นมือไปหาโคมไฟจึงรีบส่งเสียงห้าม

หลิงซูบอก “ไม่ต้องตกใจไปนะ ฉันแค่อยากจะเปิดไฟ ใส่เสื้อคลุมสักตัวเท่านั้น”

“นายอย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าปืนในมือฉันจะลั่นหรือเปล่านะ”

หลิงซูถอนหายใจ “ในเมื่อคนของคุณเฉิงวิ่งไล่ฆ่านายเต็มเมืองขนาดนี้ เขาก็คงจะตัดช่องทางติดต่อคนคุ้นเคยของนายทั้งหมด ตอนนี้ต่อให้นายไปหาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่หรือญาติสนิทมิตรสหายก็คงจะพึ่งพิงไม่ได้ทั้งนั้น ต่อหน้าพวกเขาก็คงจะรับปากนายเสียดิบดี แต่พอหันหลังก็อาจจะขายนายให้คุณเฉิงก็ได้ คุณเฉิงก็เชื่อไปแล้วว่านายเป็นคนทรยศคนนั้น มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละที่นายจะหาจุดแก้ไขกับโอกาสสุดท้ายได้”

เฉินเหวินต้งไม่ส่งเสียง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

หลิงซูพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะวางอคติลงแล้วก็มาร่วมมือกัน ถึงฉันจะมีตำแหน่งหน้าที่ไม่สูง แต่ก็รู้จักคนไปทั่วทุกวงการ ทั้งใต้ดินบนดินก็รู้จักเยอะแยะ ถึงจะเทียบคุณเฉิงไม่ได้ แต่ถ้าให้ปลอมตัวแล้วส่งนายไปไกลๆ ก็ยังพอจะทำได้อยู่ ต่อให้นายไม่เชื่อฉันก็ควรจะเชื่อเยวี่ยติ้งถังนะ สกุลเยวี่ยอยากจะช่วยชีวิตนายก็ไม่จำเป็นต้องผ่านคุณเฉิง ไม่สิ หมายถึงนาริตะ มิยะน่ะ ชื่อนี้นี่ออกเสียงยากจริง! นาริตะอาจจะใหญ่โตคับฟ้าอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือกับในเซี่ยงไฮ้ แต่ถ้าออกไปจากที่นี่ ไปอยู่หูเป่ย เสฉวน หรือแม้แต่ออกไปนอกประเทศ ไปอเมริกา อังกฤษ โลกนี้มีที่ตั้งมากมาย เขาจะยื่นมือไปถึงได้ทุกที่เชียวเหรอ”

เฉินเหวินต้งอาจจะยืนจนเหนื่อยแล้ว เขาจึงหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง แต่นั่นก็หมายความว่าเขาคลายความระแวดระวังในใจลงเล็กน้อยด้วย

หลิงซูรู้สึกหนาวสั่น เขารีบเอาผ้าห่มคลุมตัวโผล่ออกมาแค่ศีรษะ เฉินเหวินต้งก็ไม่ได้ว่าอะไร

“พูดต่อสิ นายจะช่วยฉันยังไง”

หลิงซูว่า “เมื่อกี้ฉันก็พูดแล้วไง ช่วยนายปลอมตัว อาจจะแต่งหน้านายสักหน่อยหรือไม่ก็ปลอมเป็นผู้หญิงไปเลย แค่นี้ก็ออกไปจากเซี่ยงไฮ้ได้ง่ายๆ แล้ว ญี่ปุ่นคงไปไม่ได้แน่ ฉันแนะนำให้นายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั่นแบ่งพื้นที่ซับซ้อนแล้วก็มีคนเชื้อสายจีนอยู่มาก เหมาะจะให้นายไปกบดานอยู่สักพัก หรือจะไปยุโรป อเมริกาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ระยะทางมันไกล ไปแล้วภาษาก็พูดไม่รู้เรื่องนายก็อาจจะไม่ชิน สกุลเยวี่ยมีสวนยางพาราอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถจัดหาช่องทางให้นายได้ไม่มีปัญหาเลยล่ะ”

เฉินเหวินต้งถามต่อ “แล้วนายอยากให้ฉันร่วมมือยังไง”

“คำตอบ ฉันอยากได้คำตอบ เสิ่นสือชีนั่นนายเป็นคนฆ่าหรือเปล่า”

“เปล่า”

“แล้วตกลงว่านายเป็นคนของเสิ่นสือชีหรือคนของนาริตะ”

เฉินเหวินต้งว่า “ยิ่งรู้มากก็ยิ่งตายเร็วนะ นายแน่ใจเหรอว่าอยากรู้”

หลิงซูอยากจะยักไหล่แสดงท่าทางเจ้าสำราญในแบบของตัวเอง แต่เมื่อขยับก็พบว่าตัวเองห่อตัวไว้ด้วยผ้านวม กิริยานี้หากทำออกไปไม่เพียงแต่จะไม่ดูเจ้าสำราญเท่านั้น กลับยังดูโง่งมมากด้วย เขาจึงได้แต่อยู่เฉยๆ

“ยังไงตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของฉันมันก็อยู่ในกำมือนายแล้ว ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล ถ้าจะสนองความอยากรู้อยากเห็นของฉันสักหน่อยก็คงไม่ยากเย็นเกินไปหรอกมั้ง ฉันจะให้ข้อมูลนายอีกเรื่องหนึ่งแบบไม่ปิดบังเลย เหอโย่วอันจะออกเดินทางไปจากเซี่ยงไฮ้ในอีกสองวัน นาริตะจะต้องเดินทางไปกับเธออย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นคนของเขาก็คงจะตามไปด้วยกว่าครึ่งค่อน นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายจะไปจากเซี่ยงไฮ้

เฉินเหวินต้งเงียบไปนาน ในที่สุดก็ค่อยๆ เอ่ย

“ฉันเป็นทั้งคนของเสิ่นสือชี และเป็นคนของนาริตะ มิยะด้วย ว่ากันตามความหมายแบบตรงๆ ก็คือ ควรจะเป็นคนที่นาริตะส่งมาให้เสิ่นสือชีและฟังคำสั่งของเขา เสิ่นสือชีให้ฉันไปตามรับใช้เหอโย่วอัน เป็นคนขับรถให้เธอ เพื่อจะได้จับตาดูเธอได้สะดวกๆ ตอนหลังเหอโย่วอันมาอยู่กับนาริตะ ฉันก็กลับมาอยู่ใต้อาณัติของคุณเฉิงอีกครั้ง”

คล้ายว่าในกระดูกของเขาจะมีความยำเกรงและหวาดกลัวนาริตะอยู่ จึงไม่ชินที่จะเรียกชื่อจริงของนาริตะ หลังจากเรียกไปสองสามครั้งแล้วก็กลับมาเรียกว่า ‘คุณเฉิง’ อีกครั้งเสียอย่างนั้น

หลิงซูเองก็ไม่ได้แก้ให้ เขาเรียกคุณเฉิงตามอีกฝ่ายไปด้วย

“เท่าที่ฉันรู้ คุณเหอเป็นแค่ดาราหนังคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องจับตาดูเธอด้วย”

“เพราะเสิ่นสือชีต้องการทำเรื่องที่สกปรก ตัวเขาไม่สะดวกออกหน้า ได้แต่มอบหมายให้เหอโย่วอัน น้อยมากที่จะมีคนสงสัยเหอโย่วอัน ตัวเธอเป็นคนที่เปิดเผยต่อสายตาสาธารณชน อันตรายที่สุด แต่ก็ปลอดภัยที่สุด”

หลิงซูเลิกคิ้ว “อย่างเช่นที่ให้เธอเอารายชื่อมรณะของเฉินโหย่วหวากับเซียวจวิ้นไปให้เจียงเหอน่ะหรือ”

เฉินเหวินต้งมองเขา สายตานั้นคมกริบราวกับมีดและคมมีดนั้นทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ถ้าสายตากลายมาเป็นสสาร ตอนนี้หลิงซูก็คงจะถูกลงมีดเฉือนเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ตายแบบศพไม่สวยไปแล้ว

หลิงซูคิดว่าเฉินเหวินต้งจะไม่ตอบคำถามนี้เสียด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายก็ยังเอ่ย

“ใช่”

หลิงซูก็ถามต่อ “สองคนนี้เป็นภารกิจที่คุณเฉิงมอบหมายให้เสิ่นสือชีหรือเปล่า”

เฉินเหวินต้งเงียบไปครู่หนึ่ง

“…ใช่”

“ทำไมคุณเฉิงถึงอยากฆ่าพวกเขา นายรู้ไหม”

“ไม่รู้”

หลิงซูเอ่ย “พี่เฉิน ถ้าฉันกับคุณเยวี่ยไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ก็คงจะเชื่อนายอย่างหมดจดในเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ แล้วจะร่วมมือกันได้ยังไงล่ะ”

“ถึงฉันจะเป็นคนของคุณเฉิงแต่ก็ไม่ใช่คนสนิทของเขา ไปรู้เรื่องของเขามากเกินไปไม่ได้ ฉันรู้แค่เขาเป็นคนญี่ปุ่น รู้จักสนิทสนมกับกองทัพกวนตงอย่างลึกซึ้ง ต่อหน้าเสิ่นสือชีก็เหมือนจะทำการค้ากับเขา เป็นคู่ค้ากับเขา แต่ที่จริงเสิ่นสือชีทำงานให้คุณเฉิง ถึงเฉินโหย่วหวาจะเป็นคนที่คุณเฉิงต้องการฆ่า แต่เรื่องหลังม่านก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะรู้เสมอไป”

เขาหยุดเล็กน้อยแล้วก็พูดต่อ “ฉันรู้แค่เฉินโหย่วหวายังไม่ตาย คุณเฉิงเหมือนจะสงสัยเหอโย่วอันอยู่บ้างเลยลองสืบดูหลายครั้ง แต่ไม่รู้ยังไงจู่ๆ เขาก็พุ่งเป้ามาที่ฉัน แล้วยังส่งคนมาตามฆ่าฉันอีก ฉันไปพบคุณเฉิงไม่ได้เลย แล้วก็ไม่มีทางได้ไปอธิบายกับเขาด้วย”

เมื่อพูดถึงเรื่องที่ตนต้องระหกระเหินหนีตายอย่างไร้สาเหตุ เฉินเหวินต้งก็โกรธแค้น คำว่าเหอโย่วอันถูกเขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนป่นเป็นผุยผง คงไม่อาจลบเรื่องนี้ไปจากใจจนตาย

หลิงซูพูด “นายคิดว่าเหอโย่วอันไม่พอใจในตัวเสิ่นสือชีมานานแล้วหรือเปล่า เพียงแต่เธอเก็บเอาไว้ไม่แสดงออก หลังจากคุณเฉิงปรากฏตัวเธอจึงค่อยใช้เสิ่นสือชีมาปีนขึ้นไปหาต้นไม้ใหญ่อย่างคุณเฉิง ถ้าอย่างนั้นเธอรู้จักกับเฉินโหย่วหวาหรือเปล่า”

เฉินเหวินต้งพูดทันที “ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินเสิ่นสือชีพูดว่ารายชื่อมรณะนั่นเหมือนจะเกี่ยวข้องกับข่าวกรองข่าวหนึ่ง”

“ข่าวกรองอะไร”

“ดูเหมือนนายจะสนใจเรื่องนี้มากเลยนะ”

“หรือไม่อย่างนั้นเรามาคุยกันเรื่องอื่นไหมล่ะ บ้านเกิดนายอยู่ไหน ที่บ้านมีกันกี่คน ต่อจากนี้วางแผนเอาไว้ยังไง”

เฉินเหวินต้งปิดปากเงียบไม่พูดจาดังคาด

ศอกของเขาอยู่บนที่วางแขนเก้าอี้ ดูคล้ายปล่อยลงอย่างสบายๆ แต่ที่จริงแล้วขอเพียงหลิงซูขยับตัวอย่างไม่ชอบมาพากล เขาก็สามารถพลิกข้อมือขึ้นยิงอีกฝ่ายได้ทันที

แต่หลิงซูรู้ดีว่าในใจของเขาไม่สงบอย่างมาก เพราะเขาต้องหวาดผวาอยู่กับการโดนไล่ฆ่าทั้งวันทั้งคืน แล้วยังมีความแค้นเต็มอกที่ไม่อาจไปอธิบายแก้ต่างให้คลี่คลายได้อีก

อยากจะไปหาคุณเฉิง ช่วงชิงทางรอดสักทาง แต่ก็กลัวว่าไม่ใช่แค่คุณเฉิงจะไม่ยอมพบเขา อาจจะส่งเขาไปพบพญายมโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงด้วยซ้ำ พอคิดจะอธิบายผ่านหลิงซู ให้เยวี่ยติ้งถังช่วยชีวิต ก็กลัวว่าเยวี่ยติ้งถังจะมีกำลังไม่มากพอ พึ่งพิงไม่ได้

ไม่ว่าเดินหน้าหรือถอยหลังก็ยากเย็น เหมือนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

แม้ว่าเขาจะกุมชีวิตของหลิงซูเอาไว้ แต่ชีวิตของตนก็อยู่ในกำมือของคนอื่นเช่นกัน ถ้าเขาฆ่าหลิงซูก็เท่ากับตัดทางรอดของตัวเองไปครึ่งหนึ่ง

ความสัมพันธ์บางเบา สมดุลสองฝั่งกำลังวิกฤต มันสั่นไหวใกล้จะร่วงหล่น

หลิงซูไม่กลัวว่าเขาจะประหม่าหรือไม่ กลัวก็แต่ว่าเขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งใดเท่านั้น

หากในใจมีความกลัวก็จะมีจุดอ่อนในการลงมือ

“พี่เฉิน ความกังวลของนายฉันก็เข้าใจได้นะ ยังไงซะก็เป็นคนมีญาติพี่น้องเหมือนกัน หรือต่อให้ไม่มี พวกเราก็ยังอยู่ในวัยรุ่งโรจน์ หนุ่มแน่นเต็มที่ จะมาตายอย่างไร้มูลไร้เหตุได้ยังไง ถึงเขาจะบอกว่าสิบแปดปีผ่านไปถึงจะเป็นชายชาตรี แต่ก็ต้องรออีกตั้งสิบแปดปีไม่ใช่หรือ สถานการณ์บ้านเมืองกลียุคอย่างนี้ สิบแปดปีใครเล่าจะรู้ว่าเราจะเกิดใหม่ยังไง อาจไม่ทันได้เติบโตเสียด้วยซ้ำก็อาจจะต้องอดตายไปก็ได้…”

“นายพูดมีเหตุผล”

จู่ๆ เฉินเหวินต้งก็พูดขึ้นมา เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้หลิงซู เอาปืนจ่อที่ขมับ

“เยวี่ยติ้งถังกับคุณเฉิงไม่มีความแค้นต่อกัน คงจะไม่เสี่ยงล่วงเกินคุณเฉิงเพื่อมาช่วยฉันหรอก แต่ชีวิตนี้ของฉันมีค่ามาก ยังอยากจะอยู่ต่ออีกหลายๆ ปี ในเมื่อทางเหอโย่วอันไม่มีหวังจะเข้าใกล้ได้แล้ว ก็ได้แต่บังคับให้นายไปกับฉันล่ะนะ”

หลิงซูหัวเราะเหอะๆ “พี่เฉิน นายเลอะเลือนแล้วเหรอ ฉันกับเยวี่ยติ้งถังน่ะอย่างมากก็แค่เพื่อนเก่า บวกกับสถานะหัวหน้าลูกน้องเข้าไปแล้วก็ยังไม่นับว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรเลย ในเมื่อเขาไม่มีทางไปล่วงเกินคุณเฉิงแล้วเขาจะมาช่วยฉันได้ยังไง เขาจะมาก้มหัวให้นายเนี่ยนะ ถ้านายไม่ยอมนั่งลงพูดคุยกันดีๆ ล่ะก็ ต่อให้ฉันอยากช่วยก็ช่วยนายไม่ได้หรอก”

เฉินเหวินต้งหัวเราะเสียงเย็น “คุณหลิงครับ คุณน่ะประเมินตัวเองต่ำไปแล้ว ฉันยังจำได้ว่าคืนที่เสิ่นสือชีคิดจะจัดการนาย คนแซ่เยวี่ยก็ออกหน้ามาปะทะกับเสิ่นสือชี หลังจากนั้นยังใช้สายสัมพันธ์ของสกุลเยวี่ยไปกดดันลุงของเสิ่นสือชีอีก ถ้าเป็นมิตรภาพเพื่อนเก่าสมัยเรียนธรรมดาทั่วไปก็คงไม่ทำถึงขั้นนี้หรอกนะ”

ปากกระบอกปืนจิ้มจึ้กๆ เข้าไปที่ศีรษะของหลิงซู

หลิงซูกังวลมากว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันระวังทำปืนลั่นเสียก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะต้องสละชีพอย่างห้าวหาญอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วล่ะ

“ถ้าจะโทษ นายก็ควรโทษเหอโย่วอันที่ไปเสียก่อน เดิมฉันก็มาหาเธอนั่นแหละ แต่กลับเจอความว่างเปล่า เลยได้แต่ถอยแล้วคอยโอกาสอื่น”

“…”

“นายจะเป็นหรือตายก็คงต้องดูที่เจ้าคนแซ่เยวี่ยล่ะนะว่าจะให้ความสำคัญกับนายมากแค่ไหน”

พูดมาถึงตรงนี้มุมปากเฉินเหวินต้งก็ยกขึ้น โค้งเป็นองศาร้ายกาจอย่างประหลาดที่เห็นได้เลือนรางในแสงสลัว

“อย่างมากพวกเราก็ตายด้วยกัน แล้วฉันก็จะได้มีแพะมารับบาปให้เสียที”

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com